การได้ทุนมาเรียนต่างประเทศทำให้วิถีชีวิตเดิมๆเปลี่ยนไปมากพอสมควร การใช้เวลากับโลกออนไลน์มากขึ้น ได้พบกับสิ่งที่มีประโยชน์ของโลกออนไลน์ ขณะเดียวกับการได้ผจญภัยกับภยันตรายที่กลุ่มมิจฉาชีพหรือผู้ที่หวังฉกฉวยประโยชน์ต่างๆจากผู้ใช้เน็ต ถือเป็นการเรียนรู้ที่มีค่าเช่นกัน เหมือนกับที่มีคนกล่าวไว้ว่า ทุกคนเป็นครู ทุกที่เป็นห้องเรียน ทำให้นึกถึงมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชหรือ มสธ. ที่ได้เปิดโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบชั้นเรียนแต่มีใจที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนที่จะหาความรู้ใส่ตนเพื่อสร้างความก้าวหน้าของตนเองและใช้ความรู้เพื่อประเทศชาติ
ผมเองได้มีโอกาสเข้าเรียนในหลักสูตรของ มสธ.ในหลายสาขาด้วยกันทั้งด้านการบริหารรัฐกิจ นิเทศศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ ทำให้ได้ใช้ความรู้เหล่านี้มาประกอบการทำงานได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีระบบการเรียนที่เลือกเรียนเฉพาะบางรายวิชาที่เราสนใจ เรียกว่า สัมฤทธิบัตร ทำให้เราสามารถไขว่คว้าหาความรู้ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงเรียนทุกวิชาตลอดหลักสูตร ผมจึงเป็นคนหนึ่งที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นศิษย์ มสธ. อย่างมาก
ปลายปี 2548 ผมก็ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ มสธ. อีกครั้ง โดยการนำของรองศาสตราจารย์ ดร. บุญทิพย์ สิริธรังสี ให้ผมได้มาเรียนรู้กับ มสธ. ในการร่วมเขียนเอกสารประมวลสาระชุดวิชา ระบบสุขภาพและการจัดการ (Health System and Management) ของนิสิตปริญญาโทสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ การบริหารการพยาบาล ในหน่วยที่ 13 การจัดการความรู้และข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ทำให้ผมมีโอกาสเรียนรู้วิธีการเขียนเอกสารการสอนของ มสธ. ที่ถือว่าเป็นเอกสารการสอนที่อ่านเข้าใจง่ายเพราะไม่มีการบรรยาย อาศัยการอ่านเอกสารเป็นหลัก ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะเขียนสำเร็จ ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการให้ใช้ได้
เค้าโครงเนื้อหาที่เขียนในหน่วยนี้ประกอบด้วย ตอนที่ 13.1 ความหมายและพัฒนาการของการจัดการความรู้และการจัดการข้อมูลข่าวสาร (ความหมายและพัฒนาการของการจัดการความรู้ ความหมายและพัฒนาการของการจัดการข้อมูลข่าวสาร) ตอนที่ 13.2 การจัดการความรู้ด้านสุขภาพ (เป้าหมายและองค์ประกอบในการจัดการความรู้ รูปแบบของการจัดการความรู้ด้านสุขภาพ กลยุทธ์ และกระบวนการการจัดการความรู้ด้านสุขภาพ) และตอนที่ 13.3 การจัดการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ (ความหมายและความสำคัญของการจัดการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศกับการจัดการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ กระบวนการจัดการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ) การเขียนเอกสารทางวิชาการมีความยากกว่าการเขียนบทความเพราะต้องหาเอกสารอ้างอิง จะเขียนตามประสบการณ์อย่างเดียวค่อนข้างยากเพราะดูเลื่อนลอยเกินไป แต่ผมกลับคิดว่าถ้าทุกอย่างที่เขียนต้องมีเอกสารอ้างอิง แล้วสิ่งที่เราพบจากประสบการณ์ทำงานจริงก็จะเขียนลงไปได้ยากเพราะไม่รู้จะอ้างจากงานเขียนของใคร
ผมก็ได้มีโอกาสเรียนรู้จาก มสธ.อีกโดยอาจารย์บุญทิพย์ ชวนผมมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิให้แก่นิสิตปริญญาโทพยาบาลศาสตร์ 3 คน ผมคิดว่าระบบที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ มสธ. ดีมากเพราะมีอาจารย์หลักของคณะ 1 คน ที่ชำนาญในหัวข้อนั้นๆ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีความชำนาญในด้านสถิติ และบุคคลภายนอกที่มีประสบการณ์ในเรื่องที่นิสิตทำวิทยานิพนธ์ เป็นวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่การศึกษาอิสระ (IS: Independent study) แบบที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งให้นิสิตทำ บางแห่งทำเป็นกลุ่ม 5-6 คนต่อเรื่อง เพราะอาจารย์ที่ปรึกษามีไม่เพียงพอ เลยทำให้เป็นที่สงสัยเรื่องคุณภาพการเรียนการสอนได้
นิสิตทั้ง 3 คน คือคุณสมถวิล จากสถาบันบำราศนราดูร คุณลักขณา จากโรงพยาบาลนภาลัย และคุณบุญนำ จากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช บุคลากรทั้ง 3 คนนี้ ถือเป็นบุคลากรแนวหน้าของหน่วยงานอยู่แล้ว ก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่ มสธ. ในการเป็นที่ปรึกษาครั้งนี้ ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้การเป็นที่ปรึกษา เรียนรู้จากการทำงานและพูดคุยกับนิสิตและอาจารย์บุญทิพย์และอาจารย์สุพิมพ์ ที่ปรึกษาอีก 2 คน ผมคิดว่า เหมือนกับที่ปรึกษาร่วมเป็นทีมวิจัยกับนิสิตไปด้วย เป็นการพบปะกันแบบกัลยาณมิตร ที่นิสิตไม่ต้องกลัวอาจารย์ดุด่า โดยเฉพาะอาจารย์บุญทิพย์ ถือเป็นตัวอย่างของครูที่มีความเมตตาต่อศิษย์อย่างมาก ไม่ตามใจง่ายๆ แต่แนะนำให้แก้ไขแบบใช้ลูกยุ หรือลูกเชียร์ (Empowerment) ผมเองก็มีความรู้สึกไปด้วยว่า งานของนิสิตทั้ง 3 นี้เป็นงานของเราไปด้วย ที่ต้องช่วยกันให้งานสำเร็จออกมาดี มีประโยชน์ โดยการทำหน้าที่คุณอำนวยและคุณเอื้อให้นิสิตทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด แม้จะอยู่คนละสถานที่แต่การพบกันแบบเวทีจริงก็มีหลายครั้ง ร่วมกับการติดต่อทางโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ทำให้รู้สึกว่าครูกับศิษย์ไม่ห่างไกลกัน ผมเองก็ได้เรียนรู้จากงานของนิสิตทั้ง 3 เป็นอย่างมาก
งานวิทยานิพนธ์ทั้ง 3 ชิ้นนี้ มีความเหมือนกันคือการประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการความรู้ของโนนากะและทาเคอูชิ ที่เรียกว่า SECI Model หรือ knowledge conversion process model ที่เป็นตัวแบบการจัดการความรู้ที่ครบวงจรมากที่สุด ถ้าเราทำได้ครบตามนั้น แต่ส่วนใหญ่ที่เอามาใช้กันจริง ทำแค่ครึ่งเดียวคือเอาคนมาเจอกัน แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสกัดเอาความรู้ฝังลึกออกมาใส่ไว้ในเอกสาร แล้วก็จบ ซึ่งทำให้เกลียวความรู้หมุนไม่ครบวงและไม่สามารถยกระดับสูงขึ้นไปเพื่อดึงให้เกิด Best practice ที่ดีขึ้นเรื่อยๆได้ ทำให้ได้แค่เอกสารออกมารอบเดียว แล้วก็จบกันไป กระบวนการจัดการความรู้ของโนนากะและทาคิวชิ (Nonaka &Takeuchi) ประกอบด้วยกระบวนการง่ายๆคือเอาคนมาสัมพันธ์กัน (Socialization) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เอาความรู้ในตัวคนออกมา (Externalization) แล้วเอาความรู้ที่ออกมาบันทึกเป็นเอกสารนั้น มารวบรวม กลั่นกรอง วิเคราะห์และสังเคราะห์มาเป็นวิธีการทำงานใหม่ (Combination) แล้วเอามาประกาศใช้ เอามาให้ผู้ปฏิบัติได้เรียนรู้เพื่อเอาไปปรับใช้จริง (Internalization)
คุณสมถวิล ทำเรื่องการพัฒนารูปแบบ การจัดการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์ สถาบันบำราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้แนวคิดของการจัดการความรู้ของโนนากะและทาคิวชิ ประชากรที่ได้รับการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ให้บริการที่มีความรู้ความชำนาญในการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์ ผู้ป่วย พร้อมผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์ของสถาบันบำราศนราดูร ในระหว่างเดือน มกราคม- เมษายน พ.ศ. 2550 กลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม 25 คนเป็นการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงคือผู้ให้บริการ 15 คน ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์จำนวน 5 คน และผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์ 5 คน
คุณบุญนำ ทำเรื่องการพัฒนารูปแบบการช่วยชีวิตขั้นสูง โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
โดยใช้แนวคิดการจัดการความรู้ของโนนากะและทาคิวชิ (Nonaka & Takeuchi) เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory action research) กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตขั้นสูง ได้แก่พยาบาลประจำการในหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 10 คน พยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางงานผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 2 คน แพทย์ผู้เกี่ยวข้องในการสอนการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นสูง1 คนและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอายุรกรรม 1 คน ตัวอย่างลักษณะการทำวิจัยของคุณบุญนำ คือ
Socialization หมายถึง การจัดกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกมา หัวข้อการสนทนาคือ การช่วยชีวิตขั้นสูงที่ประสบความสำเร็จ โดยเป็นการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการและ เป็นบรรยากาศการสนทนาอย่างเป็นกันเอง ทำการสนทนาซ้ำหลายครั้ง
Externalization หมายถึง กระบวนการSocialization ที่ถ่ายทอดเป็นคำพูดในกระบวนการช่วยชีวิตขั้นสูงที่เกิดขึ้นระหว่างการสนทนาตามกระบวนการ Socialization โดยการบันทึกคำสนทนาทุกครั้งที่มีการทำการสนทนากลุ่ม มีการรวบรวมบันทึกคำสนทนามาตรวจสอบความถูกต้องทุกครั้งที่ทำการทำการสนทนากลุ่ม
Combination หมายถึง การนำเอาสิ่งที่ได้จากการสนทนาที่ผ่านการทำซ้ำหลายๆ ครั้ง มารวบรวมเป็นแนวปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นสูงที่ต้องการพัฒนาเป็นรูปแบบ ทำการปรับปรุงรูปแบบตามแนวทางที่ได้จากกระบวนการ Socialization และ Externalization โดยผู้ที่อยู่ในกระบวนการ Socialization
Internalization หมายถึง การนำรูปแบบการช่วยชีวิตขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นให้ผู้ที่ร่วมพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนนำไปทดลองปฏิบัติ และส่งตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมให้ข้อเสนอแนะข้อคิดเห็นเพื่อให้รูปแบบมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำมาสรุปเป็นรูปแบบที่จะประกาศใช้เป็นแนวปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นสูงของหน่วยงาน
คุณลักขณา ทำเรื่องการพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลนภาลัย โดยใช้แนวคิดของการจัดการความรู้ของโนนากะและทาคิวชิ เป็นวิจัยแบบมีส่วนร่วม ( PAR : Parcitipatory Action Researh ) เช่นกัน กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม 1 กลุ่มพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วย ทีมสหวิชาชีพส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลนภาลัย ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ แพทย์ นักกายภาพบำบัด โภชนากร และเจ้าหน้าที่ด้านเวชกรรมครอบครัว 12 คน กลุ่มผู้ดูแล ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดทางสมองที่มาใช้บริการในสถานะผู้ป่วยใน ในช่วงเดือนที่เก็บข้อมูลจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 คน กลุ่ม 2 เป็นกลุ่มประเมินความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบการจัดการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่สร้างขึ้นไปใช้ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 ท่าน ทั้งที่ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลนภาลัย
คุณสมถวิลสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ไปแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว มีการวิพากษ์และปรับแก้ไขมากพอสมควรและสอบผ่านไปแล้ว คุณบุญนำ จะสอบในเดือนหน้า ส่วนคุณลักขณา จะสอบพรุ่งนี้ ทำให้ช่วงนี้ผมต้องเตรียมตัวในเรื่องการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของผมเองที่จะสอบวันที่ 23 มิถุนายน และอ่านเอกสารเตรียมตัวเป็นอาจารย์สอบมากกว่าเตรียมสอบของผมเองมาก
วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2551 ตื่นเช้าไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว ก็ต่อสไกป์ไปที่ สมธ. วันนี้มีอาจารย์วัลลา ตันตโยทัย คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญการจัดการความรู้ระดับประเทศ เป็นประธานกรรมการสอบ มีอาจารย์บุญทิพย์ อาจารย์สุพิมพ์ และผม ร่วมเป็นกรรมการ มีการวิพากษ์เยอะมากจากอาจารย์วัลลาและผม เป็นกรรมการที่เข้าขากันดีมากเพราะเคยมีประสบการณ์การทำเคเอ็มมาด้วยกัน เราพยายามชี้ประเด็นในแก่นของการทำเคเอ็มจริงๆ ซึ่งหลายคำถามเราสามารถพบคำตอบได้ในขณะที่เราเป็นที่ปรึกษาและมีการพูดคุยกันในกลุ่ม แต่ตัวนิสิตเองอาจจับประเด็นมาตอบไม่ชัด เกือบสามชั่วโมงของการวิพากษ์ที่เป็นเสมือนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้สอบและอาจารย์สอบไปด้วยกัน อาจารย์ทั้งสี่ท่านมีความเห็นร่วมกันในสุดท้ายว่า สอบผ่าน แต่ให้มีการปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะก่อน ผมเองไม่เครียดแต่คุณลักขณาอาจจะเครียดก็ได้
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการนำการจัดการความรู้มาทำวิจัยหรือการนำการวิจัยมาจัดการความรู้เป็นเรื่องยาก เพราะที่มาของแนวคิดหลักการค่อนข้างจะมาคนละด้านกัน แม้เป้าหมายจะเป็นสิ่งเดียวกันคือสร้างองค์ความรู้ใหม่ การทำวิทยานิพนธ์ของนิสิตทั้ง 3 คน จึงมีความยากในตัวเองอยู่แล้ว ต้องอาศัยความมานะพยายาม อาศัยการเชื่อมโยงความคิดเห็นที่อาจแตกต่างกันของแนวคิดตามเอกสารที่ทบทวนมาและแนวคิดของอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละท่านและอาจารย์ที่มาสอบ วิจัยเริ่มจากปัญหา มีกระบวนการที่เป็นกรอบที่ชัดเจน เน้น Evidence-based หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ตา ขณะที่การจัดการความรู้ เริ่มจากความสำเร็จ มีกระบวนการที่ยืดหยุ่น เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคน เน้น Practical-based หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ใจ จึงเด่นไปคนละด้าน ตัวที่จะมาเชื่อมโยงเข้าหากันได้ดี น่าจะเป็น R2R
ตอนบ่ายผมมีการซ้อมนำเสนอวิทยานิพนธ์ให้เพื่อนๆในกลุ่มได้ฟังและวิพากษ์ ตอนแรกผมรุ้สึกเบื่อๆทำไมต้องมาซ้อม แต่พอทำจริงก็พบว่าเพื่อนๆให้ข้อชี้แนะที่ดีมาก การเรียนรู้ร่วมกัน จากมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เราได้สิ่งดีที่คาดไม่ถึงได้ ตอนบ่ายกลับบ้านมาวางแผนพาครอบครัวเที่ยว เครียดกว่าการเตรียมตัวสอบวิทยานิพนธ์เยอะเลย
พิเชฐ บัญญัติ (Phichet Banyati)
Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium
20 มิถุนายน 2551, 22.35 น. (แก้ไข 16 พฤศจิกายน 2551 บ้านพักโรงพยาบาลบ้านตาก)
น่าเรียนนะคะที่มสธ.
สมัครไม่ทัน
ขณะนี้ยังเปิดรับสมัคร หลักสูตรสัมฤทธิบัตร หรือเปล่าคะ
การเรียนรู้ร่วมกัน จากมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เราได้สิ่งดีที่คาดไม่ถึงได้ ....ขอขอบพระคุณอาจารย์นะค่ะ ที่สอนศิษย์คนนี้ ทำให้ได้มีอีกหนึ่งมุมมอง คงจะโชคดีกว่าคนอื่น เพราะมีแต่คนอยากเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ แต่ไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นจะใช้โอกาสที่มีดีกว่าคนอื่น เก็บเกี่ยวความรู้จากอาจารย์ให้มากที่สุด....และจะนำไปใช้ประโบชน์ทั้งต่องานและสังคม
สวัสดีครับคุณบรรเจิด
ได้เข้ามาอ่านนานแล้ว แต่ไม่ได้มาตอบ ผมเองก็ภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้เช่นกันครับ ขอแสดงความชื่นชมยินดีอีกครั้งกับคะแนนเฉลี่ย 4.00 ของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ที่ผมได้มีโอกาสสอนในรายวิชาการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางสาธารณสุข
ดูจากความรับผิดชอบและความตั้งใจเรียน สนใจงานที่มอบหมายแล้ว ก็เป็นโชคดีของจังหวัดพิจิตรครับ ที่มีบุคลากรคุณภาพเช่นนี้
ขอให้ประสบแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตครับ
ผมเองก็กำลังพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีคุฯสมบัติในการกลับเข้าไปเป็นศิษย์ มสธ. อีกสาขาหนึ่งครับ อาจเป็นปีหน้า
ผมเรียนคณะบริหารสาธารณสุข สอบไม่ผ่าน หลายครั้งแล้ว อยากได้รับการอบรมเข้ม จะหาข้อมูลการอบรมได้ที่ใดบ้าง ใครทราบช่วยตอบผมหน่อยครับ ผมเหลืออีก 6 ชุดวิชา