การพัฒนาเกมแบบที่เป็นตัวผม
การพัฒนาเกมแบบที่เป็น "ตัวผม"
Design => Research => Development => Knowledge base
อธิบายความหมายด้านบน
อันดับแรก Design Design หรือการออกแบบ ถ้าพูดถึงการพัฒนาเกม มันควรจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว นักพัฒนาเกมบางคนกล่าวว่า "เกมที่ออกแบบมาก่อนการพัฒนา โดยมากจะไม่สำเร็จ กลายเป็นแค่ความคิดฝันเท่านั้น" แล้วทำไม ? เขาหรือเธอจึงคิดเช่นนั้น เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว ก็เพระาพวกเค้ากักขังตัวเองกับกรอบการทำงานแบบเดิมๆ พัฒนาเกมด้วยวิธีเดิมๆหรือด้วย Commercial Engine เหมือนเดิม แต่เหตุผลที่ผมเห็นสมควรให้ออกแบบก่อน ก็คือการฝึกฝนฝีมือของทีมพัฒนาฝ่ายอื่นๆไปในตัวด้วย ลองคิดดูนะครับ ว่าถ้าเรามีกรอบการทำงานอยู่กับเกมประมาณ 3-4 รูปแบบหลักๆ ก็พวก FPS , RPG , RTS , Racing ฝ่ายโปรแกรมเมอร์เป็นผู้สั่งนักออกแบบเกม ให้ทำในกรอบที่ตัวเองทำได้ แล้วสุดท้ายล่ะ ก็จบตรงนั้น รูปแบบการเล่นที่เห็นจนชินตา ภาพสวยขึ้นหรอ แล้วยังไงล่ะ คุณทำสวยได้ ผมใส่ Shader เขียนโปรแกรมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆหรือใช้โอเพนซอร์ส ผมก็สวยได้เท่าคุณน่ะแหละ เราต้องให้อิสระกับนักออกแบบ ส่วนภาระที่เหลือ โปรแกรมเมอร์ก็จะเป็นพระเอกและหน่วยกล้าตาย ถ้านักพัฒนาเกมลองหันมามองมุมนี้ ก็อาจจะมีเกมรูปแบบใหม่ๆ ไม่น่าเบื่อเหมือนตอนนี้เพิ่มมากขึ้นหลายเกมก็ได้ครับ ฝ่ายออกแบบนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในการพัฒนาเกมอยู่บ้าง ถ้าจะให้ดี นักออกแบบควรสามารถใช้งาน Game Engine เพื่อสร้างเกมเบื้องต้นให้พอดูได้บ้างเล็กน้อย สำหรับฝ่ายโปรแกรมเมอร์ ในส่วนนี้เราต้องรับงานของฝ่ายออกแบบมาทำเป็น Flowchart แบ่งโปรแกรมออกเป็นส่วนๆ คิดการทำงานของเกม เตรียมสำหรับการวิจัยและพัฒนา
อันดับที่สอง Research อย่างที่ผมบอกไว้แล้วในข้างต้น ว่านักพัฒนาเกมในฝ่ายโปรแกรมเมอร์จะกำหนดกรอบการออกแบบเอาไว้ให้นักออกแบบ เกมทำในกรอบ แต่การที่จะทำให้โปรแกรมเมอร์กลายเป็นบุคคลชั้นดีเหมือนกับข้อแรกได้นั้น เราจะต้องให้นักพัฒนาทั้งฝ่ายวิทย์ และฝ่ายศิลป์ มาทำงานชิ้นหนึ่งร่วมกัน นั่นก็คือการวิจัยนั่นเองนะครับ ในทีมพัฒนา Dimension Plus เราจะมีเอกสารนับพันแผ่นวางเรียงกันอยู่บนชั้นหนังสือ เอกสารแต่ละแผ่นนั้นสำคัญมากทีเดียว เพราะนั่นคือการวิจัยความเป็นไปได้ในการพัฒนาเกมแต่ละเกม ตามที่ฝ่ายออกแบบกำหนดมาในเอกสารประกอบการออกแบบ ซึ่งทีมโปรแกรมเมอร์จะเป็นผู้ศึกษาฟีเจอร์ แนวทางการพัฒนาเกมตามที่ฝ่ายออกแบบกำหนดมา ซึ่งจะต้องมีการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มาเพื่อพัฒนาเกมที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจจะดูแล้ว สิ้นเปลืองเวลา ทรัพยากรไปมากพอสมควร แต่การทำวิจัยเกมแบบนี้ เราจะได้รับคำตอบซึ่งอาจเป็นสูตรสำเร็จ ซอร์สโค้ด หรือประสบการณ์ในการทำงานเพิ่มขึ้น สามารถทําให้เกิดการ พัฒนาที่ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ผมจะเปรียบเหมือนการสะสมยีสซาลาเปา ยิ่งสั่งสมมานานขนาดไหน ซาลาเปาก็ยิ่งอร่อยขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องไปทำใหม่หรือไปลองผิดลองถูก ทั้งเราก็ยังมีการต่อยอดงานวิจัย หาจุดบกพร่องเพื่อออกเวอร์ชันถัดไป เราก็จะได้รับความสะดวกในการทำงานเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นการแบ่งงานกันทำก็ได้นะครับ แต่องค์กรก็ควรจะมีงบประมาณและนโยบายสนับสนุนอยู่ด้วยนะครับ จะสามารถช่วยให้โปรเจกต์หน้า เราทำได้เร็วขึ้นก็ได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่นงานคิด Algorithm ซึ่งฝ่ายปัญญาประดิษฐ์กับฝ่ายออกแบบฉากต้องการใช้สูง อาจจะทำแนวจิตวิทยา ก่อให้เกิดความสนุกก็ได้นะครับ
อันดับที่สาม Development เมื่อเกมที่ออกแบบไว้ผ่านการวิจัย ได้องค์ความรู้ใหม่ๆแล้ว ต่อไปเราก็ต้องมาเริ่มพัฒนาเกมของเรา การวิจัยอาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่เมื่อมาทำงานจริง มันประหยัดเวลาไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ อะไรยากๆก็มีไว้หมดแล้ว หยิบมาใช้หรือเลือกมาใช้ก็ได้ อาจจะแทบไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ในโปรเจกต์แรก แต่ในโปรเจกต์ที่สองอาจจะเอามาใช้ได้บ้าง แก้ไขเล็กน้อย วิจัยเพิ่มบ้าง ก็ตามแต่งานที่ทำแล้วกันนะครับ ทำเสร็จแล้วก็จัดการด้าน Production , Packing , Launch สู่ตลาดต่อไป
สุดท้าย สิ่งดีๆที่จะได้ สิ่งที่จะได้หลังจากการทำเกมคืออะไร ถ้าจะตอบว่าเป็นเงิน ผมก็จนด้วยเกล้าที่จะเถียง แต่สิ่งดีๆที่จะได้ในตอนท้ายของแต่ละโปรเจกต์ คือองค์ความรูปและสูตรสำเร็จหลายๆอย่าง มีผู้บอกว่าการพัฒนาเกมไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ผลของการวิจัยในข้อที่ 2 ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเราจะได้รับสูตรเหล่านั้นแน่นอน พวกเราก็จะเรียกว่า Knowledge base อาจจะเป็นการรวมความรู้ ซอร์สโค้ด หรือสูตรสำเร็จเอาไว้เป็นหมวดหมู่ หยิบสะดวก ทีนี้การทำงานก็จะลดความกดดันไปได้เยอะ ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณเริ่มโปรเจกต์วันนี้ เริ่มการวิจัยสัปดาห์หน้า เริ่มการพัฒนาเดือนหน้า พัฒนาเสร็จปีหน้า (เหตุการณ์สมมติ) แล้วอีก 5 ปีข้างหน้า Knowledge base ของคุณล่ะครับ ยิ่งใหญ่น่าดูเลยทีเดียว
อันดับที่สอง Research อย่างที่ผมบอกไว้แล้วในข้างต้น ว่านักพัฒนาเกมในฝ่ายโปรแกรมเมอร์จะกำหนดกรอบการออกแบบเอาไว้ให้นักออกแบบ เกมทำในกรอบ แต่การที่จะทำให้โปรแกรมเมอร์กลายเป็นบุคคลชั้นดีเหมือนกับข้อแรกได้นั้น เราจะต้องให้นักพัฒนาทั้งฝ่ายวิทย์ และฝ่ายศิลป์ มาทำงานชิ้นหนึ่งร่วมกัน นั่นก็คือการวิจัยนั่นเองนะครับ ในทีมพัฒนา Dimension Plus เราจะมีเอกสารนับพันแผ่นวางเรียงกันอยู่บนชั้นหนังสือ เอกสารแต่ละแผ่นนั้นสำคัญมากทีเดียว เพราะนั่นคือการวิจัยความเป็นไปได้ในการพัฒนาเกมแต่ละเกม ตามที่ฝ่ายออกแบบกำหนดมาในเอกสารประกอบการออกแบบ ซึ่งทีมโปรแกรมเมอร์จะเป็นผู้ศึกษาฟีเจอร์ แนวทางการพัฒนาเกมตามที่ฝ่ายออกแบบกำหนดมา ซึ่งจะต้องมีการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มาเพื่อพัฒนาเกมที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจจะดูแล้ว สิ้นเปลืองเวลา ทรัพยากรไปมากพอสมควร แต่การทำวิจัยเกมแบบนี้ เราจะได้รับคำตอบซึ่งอาจเป็นสูตรสำเร็จ ซอร์สโค้ด หรือประสบการณ์ในการทำงานเพิ่มขึ้น สามารถทําให้เกิดการ พัฒนาที่ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ผมจะเปรียบเหมือนการสะสมยีสซาลาเปา ยิ่งสั่งสมมานานขนาดไหน ซาลาเปาก็ยิ่งอร่อยขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องไปทำใหม่หรือไปลองผิดลองถูก ทั้งเราก็ยังมีการต่อยอดงานวิจัย หาจุดบกพร่องเพื่อออกเวอร์ชันถัดไป เราก็จะได้รับความสะดวกในการทำงานเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นการแบ่งงานกันทำก็ได้นะครับ แต่องค์กรก็ควรจะมีงบประมาณและนโยบายสนับสนุนอยู่ด้วยนะครับ จะสามารถช่วยให้โปรเจกต์หน้า เราทำได้เร็วขึ้นก็ได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่นงานคิด Algorithm ซึ่งฝ่ายปัญญาประดิษฐ์กับฝ่ายออกแบบฉากต้องการใช้สูง อาจจะทำแนวจิตวิทยา ก่อให้เกิดความสนุกก็ได้นะครับ
อันดับที่สาม Development เมื่อเกมที่ออกแบบไว้ผ่านการวิจัย ได้องค์ความรู้ใหม่ๆแล้ว ต่อไปเราก็ต้องมาเริ่มพัฒนาเกมของเรา การวิจัยอาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่เมื่อมาทำงานจริง มันประหยัดเวลาไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ อะไรยากๆก็มีไว้หมดแล้ว หยิบมาใช้หรือเลือกมาใช้ก็ได้ อาจจะแทบไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ในโปรเจกต์แรก แต่ในโปรเจกต์ที่สองอาจจะเอามาใช้ได้บ้าง แก้ไขเล็กน้อย วิจัยเพิ่มบ้าง ก็ตามแต่งานที่ทำแล้วกันนะครับ ทำเสร็จแล้วก็จัดการด้าน Production , Packing , Launch สู่ตลาดต่อไป
สุดท้าย สิ่งดีๆที่จะได้ สิ่งที่จะได้หลังจากการทำเกมคืออะไร ถ้าจะตอบว่าเป็นเงิน ผมก็จนด้วยเกล้าที่จะเถียง แต่สิ่งดีๆที่จะได้ในตอนท้ายของแต่ละโปรเจกต์ คือองค์ความรูปและสูตรสำเร็จหลายๆอย่าง มีผู้บอกว่าการพัฒนาเกมไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ผลของการวิจัยในข้อที่ 2 ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเราจะได้รับสูตรเหล่านั้นแน่นอน พวกเราก็จะเรียกว่า Knowledge base อาจจะเป็นการรวมความรู้ ซอร์สโค้ด หรือสูตรสำเร็จเอาไว้เป็นหมวดหมู่ หยิบสะดวก ทีนี้การทำงานก็จะลดความกดดันไปได้เยอะ ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณเริ่มโปรเจกต์วันนี้ เริ่มการวิจัยสัปดาห์หน้า เริ่มการพัฒนาเดือนหน้า พัฒนาเสร็จปีหน้า (เหตุการณ์สมมติ) แล้วอีก 5 ปีข้างหน้า Knowledge base ของคุณล่ะครับ ยิ่งใหญ่น่าดูเลยทีเดียว
หมายเลขบันทึก: 223279เขียนเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008 10:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:21 น. () สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (2)
**แวะมาชื่นชม เด็กดีในดวงใจ
**ขอให้สิ่งที่มุ่งมั่นสำเร็จในทุกครั้ง
ใครเก่ง จ้างทำออโต้แพท ให้คนเล่นใช้ctrl + esc กับ alt + tab ไม่ได้ครับ เดือนร้อนกับพวกชอบออกไช้โปรจริงๆๆครับ