เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับพ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เป็นสนทนาในฐานะลูกศิษย์ที่ถามข่าวคราวครูบาอาจารย์ ซึ่งพ่อครูบาได้ถามถึงฝนฟ้าอากาศแถบทุ่งกุลาร้องไห้เป็นอย่างไร ผมก็ตอบว่าปีนี้ลมแรงและหนาวเร็วกว่าปกติ แต่มีคำถามหนึ่งที่พ่อครูบาถามแล้วผมตอบไม่ได้ พ่อถามว่า พี่น้องชาวบ้านปีนี้เก็บเกี่ยวข้าวแล้วคิดจะทำอะไรบ้าง สถานการณ์รอบบ้านรอบเมืองเป็นอย่างทุกวันนี้ ใครมีข้อคิดข้อเสนออะไรดีๆบ้างไหม ผมตอบแบบสั้นๆแต่ดูเหมือนไม่ตรงประเด็นเท่าไรนักว่า ชาวบ้านคิดเรื่องเฉพาะหน้า ค่าใช้จ่ายในการทำนามันสูงและดูเหมือนจะเกินแรงชาวบ้านที่จะรับไหวแล้วครับ ซึ่งผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของพ่อครู แล้วพ่อบอกว่าเอาไว้กลับจากกรุงเทพฯ ค่อยคุยกันใหม่
ในฐานะลูกศิษย์ที่อยู่กับพ่อครูมานานพอสมควร ผมพอจะเดาออกว่าพ่อคิดอะไร พ่อสอนผมเสมอว่า ทำอะไรให้ทำด้วยความรู้ ซึ่งผมมองว่าพี่น้องในชุมชนชนบททั่วไปโดยภาพรวมอยู่ในภาวะความรู้ไม่พอใช้ประกอบกับอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อให้เกิดอาการวกวนในการดำรงชีวิตสิ่งใดพอที่จะประโลมจิตใจได้ก็จะรับและทำทันที เหมือนนักมวยที่เมาหมัดคู่ต่อสู้จึงเลือกชกตามใจชอบ
ชุมชนเข้มแข็ง ที่ใครๆก็กล่าวถึง แท้จริงแล้วมันมีหน้าตาอย่างไร ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง สถาบันหลักในชุมชนอันได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน ต่างก็ดีดตัวออกห่างกัน ต่างก็มองเห็นกันอย่างเลือนราง ทั้งๆที่ต่างก็เป็นเลือดเนื้อชีวิตและจิตใจของกันและกันมานาน ความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน โดยภาพรวมจึงเปรียบเป็นปลาหนีน้ำ แล้วจะถามหาความเข้มแข็งของชุมชน จากใคร ช่วยกันตอบหน่อยครับว่า บ้าน วัด โรงเรียน อะไรเป็นปลา อะไรเป็นน้ำ และใครหนีใคร
อย่างไรก็ตามยังมีชุมชนเข้มแข็งอย่างแท้จริงที่น่าศึกษาและเรียนรู้ร่วมกันอีกมากมายทั่วทั้งแผ่นดินไทย ครับผม
พ่อครูบา น่ารักมากครับ
สวัสดีครับคุศักดิ์พงษ์ คนแซ่เดียวกัน
ต้นแบบชุมชนเข้มแข็งมีหลายที ทีหาดูได้
บ้านสามขา ลำปาง
เครือข่าย สินธ์แพรทอง พัทลุง นีก็ใช่ครับ
สวัสดี อ.พงศักดิ์ บทความดีๆขออนุญาตนำเสนอรายการเจาะโลกฯทาง มมส.นะครับ