ดีใจที่ได้ฟังความเห็นของคุณต้อมครับ
ผมอยากให้คุณต้อมเข้าไปอ่านดูอีกสักครั้ง จะได้ไหมครับ ?(โดยเฉพาะอันที่ยาวที่สุดของผม อันที่เป็นความเห็นที่ 5 ของกระทู้) แล้วคิดตามทุกบรรทัด ให้ดี ๆ (เพราะแต่ละบรรทัดที่ผมเขียนผมได้กลั่นกรองสิ่งต่าง ๆ มาอย่างถี่ถ้วน แล้วเรียบเรียงเป็นสำนวน ที่มีการลบและแก้ใหม่อยู่หลายครั้งกว่าจะได้เป็นบรรทัดบรรทัดนึงออกมา เปรียบกับนักแต่งเพลงที่กว่าจะแต่งเพลงแต่ละเพลงออกมาได้ บางทีข้อความผมอาจมีเนื้อหาค่อนข้างซับซ้อนไปนิด และถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ผมยินดีที่จะให้คำอธิบายทุกบรรทัดครับ)
การกระทำมีอิทธิพลมาจากความเชื่อเป็นพื้นฐานครับ
ยกตัวอย่าง
เช่น ความเชื่อเรื่องการขอโทษ ที่ว่า "เมื่อทำผิดแล้วขอโทษสามารถที่จะผ่อนหนักเป็นเบาหรือได้รับการอภัยได้" (ซึ่งความเชื่อนั้นอาจจะเกิดจากการถูกปลูกฝังมา หรือ ...,หรือ....เป็นต้น่) เมื่อเรามีความเชื่อดังนี้แล้ว => เราจึงคิด(การคิดนี้ก็จะเป็นการคิด เพื่อทบทวนสิ่งดังกล่าว และหาวิธีการเพื่อที่ตอบสนองต่อความเชื่อ ในขั้นนี้เป็นภาวะที่มีการตัดสินใจ) => แล้วจึงปรากฎเป็นรูปแบบการกระทำที่เราได้เลือกแล้วและแสดงออกมา เป็นต้น
เริ่มจะพอมองเห็นภาพหรือยังครับ ?
เพราะฉะนั้น การจะเปลี่ยนแปลงการกระทำ ต้องสร้างความเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงความเชื่อครับ
มาดูตรงความเห็นของคุณต้อมกันนิดนึงนะครับ
"ต้อมคิดว่าหลายๆ คนในสังคมก็อยากจะให้ทุกคนในสังคมนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทุกคนวาดภาพไว้..แต่อาจจะไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะ..มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย"
ใช่ครับ กล่าวได้ถูกต้อง เป็นความจริงครับ ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าทุกแต่ละคนต่างคิดว่า "สังคมคงไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ได้ คือสามารถที่จะสงบสุขได้ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย" แบบนี้ แล้ว...สังคมจะดีขึ้นได้ยังไรครับ ว่ามั้ย ?
เราต้องมีความเชื่อซิครับ ว่ามันเป็นไปได้ ไม่ได้บังคับให้เชื่อนะครับ และผมก็ได้อธิบายที่มาของความคิดที่ต่างกันที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลมาแล้ว (จากในความเห็นอันยาวของผม ในกระทู้คุณ citrus)
และปัจจัยที่ต่างกันนี่ก็ด้วย ที่ก่อเข้าด้วยกันทำให้เกิดความคิดที่ต่างกัน เช่น คนคนนึง ข้าวแทบไม่มีจะกินอยู่แล้ว ถ้ามาพูดเรื่องการเสียสละกับเขา เขาจะคิดยังไงจะทำหรือไม่ ? นี่ใช่ใหมครับ ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดความคิด และเข้ามามีอิทธิพลต่อความเชื่อเรื่องการทำความดีในแต่ละคนของพวกเขาให้ต่างกันในขณะเดียวกันจะลดความเชื่อเรื่องการทำดีแล้วได้ดีให้น้อยลงไปด้วย
ดังนั้น เราจะต้องรวมจากความคิดที่ต่างกันที่มีในแต่ละบุคคล ให้เป็นความเชื่อเดียวกัน
คือ "ทำดี ต้องได้ดี ถึงแม้จะยังไม่ได้ดี ก็จะได้รับความสุขจากการเป็นผู้ทำความดี" จะต้องสร้างความเชื่อนี้ ให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานเข้าในใจ ตรงสู่จิตใต้สำนึก ด้วยวิธีการ สร้าง/วาดเป็นมโนภาพโดยมีตนเองเป็นผู้กระทำความดีแล้วมีความสุข
มันเป็นวิธีเหนี่ยวนำจิตใจ ที่จิตใต้สำนึกให้เกิดขึ้น เป็นวิธีปลุกซุปเปอร์อีโก้ลุกขึ้น สร้างความแข็งแกร่งให้กับอีโก้
เห็นภาพหรือยังครับ ?
(ชักเริ่มเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ท้อนะครับ ที่จะแสดงความคิดอันนี้ให้คุณต้อมเข้าใจ เพื่อสังคมและโลกของพวกเรา จะได้มองเห็นท้องฟ้า อันสดใส คุณต้อมเองก็อยากให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ ??)
คุณต้อมอย่ามองข้าม "พลังแห่งศรัทธา" เชียวนะครับ
พลังแห่งศรัทธา เมื่อรวมกันเข้าหลาย ๆ คน มันมีอานุภาพมหาศาล มากมายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ทีเดียว เป็นพลังที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ให้มืดหรือสว่างได้ อยู่ที่เราจะเลือกที่จะเชื่อ ถ้ามนุษย์แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เชื่อว่าเราจะเปลี่ยนโลกได้แล้ว แล้ว..โลกของเรายังจะมีพรุ่งนี้อีกหรือ ?