เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อยากเล่าเป็นภาคที่ 2 เพราะมันทำให้ฉันซึ่งเป็นพยาบาลรู้สึกอึ้ง ทุกครั้งที่ พี่ชายฉันเพูดถึงเรื่องนี้...หลังจากการจากไปของพี่สะไภ้ พี่ชายของฉันมักจะพูดถึงเรื่องการที่ได้ดูแลภรรยาอย่างดีให้ฟังอย่างภาคภูมใจในฝีมือการดูแล และดูเหมือนจะอยากบอกอะไรบางอย่างกับฉันที่เป็นน้องและเป็นพยาบาล...
พี่ชายฉันไม่เคยมีความรู้และประสบการณ์การดูแลใครเลย ....1 ปี 6 เดือน ที่ต้องรับภาระดูแลภรรยาที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ คนเดียว เพราะลูกสาวเรียนที่ต่างประเทศ ฉันซึ่งเป็นน้องก็อยู่ห่างไกลกัน สิ่งที่เป็นภาระใหญ่ที่สุดที่ 2 คน สามีภรรยาต้องเผชิญ ก็คือ การที่ต้องดูแลแผล OSTOMY (แผลเปิดเอาลำไส้ใหญ่ออกทางหน้าท้อง) ในขณะที่คนไข้เผชิญกับความกลัว และการขับถ่ายที่แปลกแยก ลำบาก คนดูแลต้องเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างในการดูแลแผล การเปลี่ยนถุง พี่ชายฉันคุยว่า น้องเอ๊ย! เฮียว่าเฮียเก่งกว่าพยาบาลนะ เพราะว่า หลังจากผ่าตัดกลับมาบ้านไม่นาน แผลก็เกิดการติดเชื้อ สองคนตกใจมาก รีบไปหาหมอ พี่ชายบอกว่าเฮียรู้ว่าทำไมแผลจึงไม่ดี เพราะว่าการตัดขอบปากถุงมันไม่พอดีกับแผล....ฉันเถียงเขาว่า ไม่หรอกพยาบาลน่ะเขาทำจนชำนาญแล้วนะ...พี่ชายฉันบอกว่า เขาเก่งน่ะใช่ ...แต่เขาคงรีบงานเขาเยอะนะ หรือไม่ "เขาก็คงไม่ได้รักแผลนี้ เท่ากับที่เรารัก" หลังจากนั้นพี่ชายก็ทำเองทุกครั้ง การเปลี่ยนถุงอย่างประณีต บรรจงตัดขอบปากถุงอย่างพอดีเป๊ะ.. ซึ่งพี่ชายฉันบอกว่า นี่แหละคือ เทคนิกที่ดีที่สุด ที่แผลจะไม่ติดเชื้อ...พี่ชายสังเกตุปัญหาทุกอย่าง สังเกตุอึที่ออกมาทุกครั้ง รู้หมดว่ามันผิดปกติ ต้องรีบเปลี่ยนถุง ทำความสะอาดแผลอย่างถนุถนอม(ต้องใช้คำนี้เพราะมันเป็นอาการอย่างนั้นจริงๆ) ซึ่งพี่ชายฉันบอกว่ามันต้องเบามือมากๆ เพราะผิวหนังรอบบแผลพร้อมจะถลอกได้ตลอดเวลา ....หลังจากนั้นคนไข้ไม่มีปัญหาเรื่องแผลอีกเลย...จนกระทั่งจากไป ...
ฉันฟังแล้ว เห็นแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากบอกกับพี่ชายว่า เฮียเก่งจริง น้องพยาบาลคนนี้ขอคารวะ ..... เพราะฝีมือและหัวใจต้องไปด้วยกัน จึงจะสร้างการดูแลที่เป็นเลิศได้
สวัสดีค่ะ
ในฐานะที่เป็นนักศึกษาพยาบาล
ก็ขอชื่นชมพี่ชายของคุณน่ะ
รู้สึกดีมากเลยที่มีคนคนนึงดูแล
เอาใจใส่คนอื่นได้ถึงขนาดนี้
ขอถือตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาต่อไปสำหรับ
นักศึกษาพยาบาลน่ะค่ะ