มารู้จักกับสังข์ทอง


สังข์ทองลูกแม่


      แสนเอยแสนแขนง น้อยหรือแกล้งตัดพ้อเล่นต่อหน้า
ติเล็กติน้อยคอยนินทา ค่อนว่าพิไรไค้แคะ
พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่ง มันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ
เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ แฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง
อย่าประมาทรูปพี่เห็นขี้เหร่ ไม่ว่าเล่นเป็นเสน่ห์ชอบใจหญิง
ชาวรั้วชาววังไม่ชังชิง อุตส่าห์ทิ้งมาลัยมาให้เงาะ
  เจ้าเงาะพูดยั่วนางรจนา
ประวัติที่มาของเรื่อง
      สังข์ทองเป็นเรื่องที่ได้มาจากสุวัณสังขชาดก ซึ่งเป็นนิทาน เรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก
ของท้องถิ่น  ในภาคเหนือและภาคใต้มีสถานที่ที่กล่าวถึงเนื้อเรื่องในสังข์ทองกล่าวคือเล่ากันว่า
เมืองทุ่งยั้ง เป็นเมืองท้าวสามนต์ ใกล้วัดมหาธาตุมีลานหินเป็นสนามตีคลีของพระสังข์ ส่วนในภาคใต้ เชื่อว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองท้าวสามนต์ และเรียกภูเขาลูกหนึ่งว่า "เขาขมังม้า" เนื่องจากเมื่อ
พระสังข์ตีคลีชนะได้ขี่ม้าข้ามภูเขานั้นไป
บทละครพระราชนิพนธ์เรื่อง สังข์ทอง มี ๙ ตอน คือ
๑ . กำเนิดพระสังข์
๒. ถ่วงพระสังข์
๓. นางพันธุรัตน์เลี้ยงพระสังข์
๔. พระสังข์หนีนางพันธุรัต
๕. ท้าวสามนต์ให้นางทั้งเจ็ดเลือกคู่
๖. พระสังข์ได้นางรจนา
๗. ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ
๘. พระสังข์ตีคลี
๙. ท้าวยศวิมลตามพระสังข์
ลักษณะคำประพันธ์
      ๑ เป็นกลอนบทละคร บทหนึ่งมี ๔ วรรค วรรคละ ๖ คำ หนึ่งบทมี ๒ บาท เรียกว่าบาทเอก
และบาทโท ๑ บาท เท่ากับ ๑ คำกลอน   มีลักษณะการสัมผัสดังนี้
 
สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับตายตัว ให้สังเกตจากแผนผัง วรรคที่ ๑อาจจะสัมผัสกับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
ตามเส้นสัมผัสในวรรคที่ ๒
      ๒. คำขึ้นต้นบท กลอนบทละครมีคำขึ้นต้นหลายแบบ และคำขึ้นต้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีจำนวน
เท่ากับวรรคสดับ อาจจะมีเพียง ๒ คำก็ได้ คำขึ้นต้นมีดังนี้
            ๒.๑ มาจะกล่าวบทไป มักใช้เมื่อขึ้นต้นเรื่อง หรือกล่าวถึงเรื่องแทรกเข้ามา
            ๒.๒ เมื่อนั้น ใช้สำหรับผู้มียศสูง หรือผู้เป็นใหญ่ในที่นั้นตามเนื้อเรื่อง เช่นกษัตริย์ ราชวงศ์
            ๒.๓ บัดนั้น ใช้ขึ้นต้นสำหรับผู้น้อยลงมา เช่น เสนา ไพร่พล
     
เรื่องย่อสังข์ทอง
      ท้าวยศวิมลมีมเหสีชื่อนางจันท์เทวีมีสนมเอกชื่อนางจันทา ไม่มีโอรสธิดา จึงบวงสรวงและรัทษาศีลห้า
เพื่อขอบุตร และประกาศแกพระมเหสีและทางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครอง อยู่มานางจันท์
เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็นหอยสังข์ นางจันทาเกิดความริษยา
จึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทา จึงเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง   
      นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา ๕ ปี พระโอรส
ในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวี
ทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย พระสังข์เห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้รำพันว่า
      พระแม่ต่อยหอยสังข์คือชีวิต จะชมชิดลูกนี้สักกี่ครั้ง
และนางจันท์เทวีเลี้ยงพระสังข์มาด้วยความรัก ฝ่ายท้าวยศวิมลเศร้าพระทัยเพราะอาลัยอาวรณ์นางจันท์เทวีมากทรงรำพึงว่า
      เจ้าจะเป็นฉันใดที่ในดง กอดหมอนแนบองค์เข้าร่ำไห้
นางจันทาสังเกตเห็นงุ่นง่านใจกลัวจะไม่ได้เป็นใหญ่ จึงให้ยายเฒ่าสุเมธามาทำเสน่ห์ให้ท้าวศวิมลหลงรัก
และทูลยุยงว่านางจันท์เทวีมีลูกชายมาอยู่ด้วยคนหนึ่งในป่าน่าจะเป็นลูกชู้ นำความเสื่อมเสียมาแก่ท้าวยศวิมล ให้ประหารพระสังข์เสีย ท้าวศวิมลหลงเชื่อ สั่งประหารพระโอรสของตนแต่ด้วยบุญญาธิทารก
ของพระสังข์ จะฆ่าอย่างไรพระสังข์ก็ไม่ตาย เสนาพึมพำกันว่า
      บุญญาธิการชาญชัญ จึงทำอย่างไรไม่ม้วยมรณ์
เมื่อท้าวยศวิมลทรงทราบว่าพระโอรสมิใช่หอยสังข์แต่เป็นพระกุมารที่มีบุญญาธิการ ท้าวเธอก็จะให้รับพระโอรสและนางจันท์เทวีกลับวัง พระสังข์ร้องขอให้พระมารดาช่วย
      ฝ่ายองค์พระสังข์กุมารน้อย ตั้งแต่ละห้อยโหยไห้
แลเห็นมารดามาแต่ไกล ดีใจร้องเรียกพระมารดา
แม่คุณจงช่วยลูกด้วยที เขาผูกมัดรัดตีแล้วทุบด่า
แล้วมิหนำซ้ำมัดรัดกรมา มารดานิ่งได้ไม่ปรานี
เขาจะโยนลูกลงในคงคา ไม่ช้าจะม้วยไปเป็นผี
แม่วานเขาส่งลงมาที ชนนีนิ่งได้ไม่เอ็นดู
ลูกอยากขนมนมแม่ น้าแก้ปล่อยให้ไปสักครู่
เสนาน้ำตาลงไหลพรู ที่พาลข่มขู่ด้วยกลัวภัย
แต่ถูกนางจันทาทัดทานไว้ และในที่สุดนางจันทาเสนอให้เอาไปถ่วงน้ำจมหายไปต่อหน้าพระมารดา นางจันท์เทวีอ้อนวอนพระสวามีว่า
      ลูกข้ากะจิริดผิดไม่มี ขอประทานชีวิพระลูกชาย
  ข้าราชบริพารและเหล่าประชาเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความสลดใจ
      บัดนั้น ฝูงคนถ้วนหน้าน้ำตาไหล
แลเห็นโฉมงามทรามวัย เกลือกนิ่งไปไม่ไหวองค์
จึงวักตักเอาชลธี ปะพรมโฉมศรีไม่ผุยผง
ครั้นเจ้าค่อยฟื้นคืนคง ปลอบโยนโฉมยงให้ไคลงคลา
ความรักที่แม่มีต่อลูก
      พ่อคุณทูลกระหม่อมของแม่เอ๋ย ทรามเชยทิ้งแม่้ให้โหยไห้
เช้าเย็นแม่จะเห็นหน้าใคร ดังกาเหยี่ยวเฉี่ยวไปก็เหมือนกัน
ลูกเอ๋ยเคยรับพระมารดา เมื่อมาแต่ป่าพนาสัณฑ์
พูดพลอดกอดแม่ไม่วายวัน กินนมชมกันทุกเวลา
ตัวกรรมมันตามมาล้างผลาญ พลัดบ้านเมืองแล้วยังมิสา
ยังมิหนำซ้ำพรากจากลูกยา อนิจจามีกรรมต้องจำไกล
รำพันพลางนางลาคนทั้งปวง เจ้าเหงาง่วงเดินมาน้ำตาไหล
เปล่าจิตผิดทางซังตายไป ดั้นด้นพงไพรร้องไห้มา
 
   ด้วยบุญของตระสังข์ ถูกหินถ่วงจมลงไปตรงปล่องนาคาอันเป็นประตูสู่เมืองบาดาล พญานาคคือท้าวภุชงค์มาพบเห็นพระสังข์นอนสลบอยู่
      เมื่อนั้น พระสังข์โอดโอยโหยหา
จมลงตรงปล่องนาคา ฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์
แม่เจ้าประคุณทูลกระหม่อมแก้ว จะกลิ้งเกลือกอยู่แล้วเป็นแม่นมั่น
เพราะแม่ต่อยหอยสังข์ยั้งไม่ทัน จึงพลัดพรากจากกันกับลูกยา
ทีนี้จะได้ผู้ใดเล่า อยุ่ด้วยช่วยผ่านเกล้าเฝ้าเคหา
อยู่ทับขับไล่ไก่กา แม่มาเย็นเย็นจะเห็นใคร
ว่าพลางทางซบเกศเกล้า คิดถึงแม่เจ้าแล้วร้องไห้
สลบซบซอนอ่อนใจ อยุ่ในใต้น้ำไม่ทำลาย
 
      จับกรช้อนองค์เห็นกงจักร น้อยหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะเกิดเภทพาลประการใด ใครช่างทำได้ไม่ปรานี
จึงนำไปเลี้ยง แต่เห็นว่าจะเลี้ยงกันไม่สะดวกเพราะตนเป็นนาค จึงส่งพระสังข์ไปให้เพื่อนรักคือนางพันธุรัตเลี้ยงดู โดยมีใจความในสารที่แนบไปว่า
      สารท้าวภุชงค์ทรงศักดิ์ คิดถึงแม่รักยักษา
แต่สหายวายปราณนานมา ชั่วช้ามิได้มาเยี่ยมเยือน
องค์ท้าวกุมภัณฑ์ที่บรรลัย ความสมัครรักใคร่ใครจะเหมือน
เจ้าน้อยใจที่ไม่เยี่ยมเยือน รักเจ้าเท่าเทียมเหมือนกัน
เป็นหญิงครองเมืองมณฑล เสนีรี้พลจะเดียดฉันท์
เราไซร้ได้บุตรบุญธรรม์ มนุษย์จ้อยน้อยนั้นถือสารไป
เจ้าจงเลี้ยงไว้เป็นลูกรัก เราเห็นบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะได้ครอบครองพระเวียงชัย เลี้ยงไว้ค้ำชูแทนหูตา

      นางพันธุรัตเป็นยักษ์ สามีเสียชีวิตแล้ว นางเลี้ยงพระสังข์ด้วยความรักอย่างจริงใจนางพันธุรัตและพี่เลี้ยง
แปลงเป็นมนุษย์เลี้ยงพระสังข์มาจนอายุ ๑๕ ปี นางพันธุรัตห้ามขาดไม่ให้พระสังข์เข้าไปที่หวงห้ามแห่งหนึ่ง แต่วันหนึ่งเมื่อนางพันธุรัตไปหากินตามปกติ พระสังก็แอบเข้าไปที่นั่น ไปพบซากโครงกระดูกมนุษย์
และสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง เสือ กวาง พบบ่อปิดบ่อหนึ่งเป็น บ่อเงิน อีกบ่อ เป็นบ่อทอง มีรูปเงาะ เกือกแก้ว
 
พระสังข์ลงชุบตัวในบ่อเงินบ่อทอง ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่
และไม้เท้า เมื่อลองสวมชุดเงาะและเกือกแก้วดูก็ สามารถเหาะไปมาได้ พระสังข์จึงวางแผนหลบหนี
นางพันธุรัตเพื่อจะไปหาพระมารดา แล้ววันหนึ่งพระสังข์ก็ลงชุบตัวในบ่อทองแล้วสวมรูปเงาะจะเหาะหนีไป ก่อนไปพระสังข์คร่ำครวญดังนี้
      โอ้นิจจามารดาเลี้ยง เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงรักใคร่
แสนสนิทพิศวาสดังดวงใจ มิให้ลูกยาอนาทร
พระคุณล้ำลบจบดินแดน ยังมิได้ทดแทนพระคุณก่อน
วันนี้จะพลัดพรากจากจร มารดรค่อยอยู่จงดี
แม้นลูกไปไม่ม้วยมรณา จะกลับมากราบบาทบทศรี
ร่ำพลางทางทรงโศกี อยู่ที่ปราสาทเพียงขาดใจ
นางพันธุรัตติดตามไปพระสังข์อธิษฐานไม่ให้นางพันธุรัตขึ้นไปได้

 
      พลางตั้งจิตพิษฐานด้วยสัจจา คุณพระมารดาปกเกศี
จงค้ำชูช่วยข้าครานี้ อย่าให้มีอันตรายสิ่งใด
ถึงแม่พันธุรัตจะพบข้า ขออย่าให้ขึ้นมาบนเขาได้
ให้ลูกแก้วตัวรอดปลอดภัย พลางยกมือไหว้ภาวนา
นางอ้อนวอนให้พระสังข์ลงมาหา แต่พระสังข์ไม่ยอมลงมา
      นั่งอยู่ไยนั่นพ่อขวัญข้าว ขัดเคืองอะไรเล่าเจ้าจึงหนี
มาเถิดทูนหัวอย่ากลัวตี ดูเอาเถิดซียังมิมา
นางร่ำไห้แล้วซ้ำเรียก ปีนตะกายตะเกียกขึ้นไปหา
ด้วยเดชะอำนาจสัตยา เผอิญให้เลื่อยล้าสิ้นกำลัง
พลัดตกหกล้มนอนตะแคง ขาแข้งสีข้างขัดขึ้นดัดหลัง
โศกีตีอกเพียงจะพัง ทรุดนั่งกระแทกก้นจนใจ
นางจึงเขียนมนต์เรียก เนื้อเรียกปลาไว้ให้ที่แผ่นศิลาเชิงเขา มนตร์นั้นเรียกว่ามหาจินดามนต์ และแสดงความรักความบริสุทธิ์ใจต่อพระสังข์กระทั่งตาย
อย่านึกแหนงแคลงเลยว่าเป็นยักษ์ มาเถิดลูกรักอย่าเกรงขาม
ถึงจะอยู่จะไปก็ให้งาม เจ้าผุ้ทรามรักร่วมชีวา
อันรูปเงาะไม้เท้าเกือกแก้ว แม่ประสิทธิ์ให้แล้วดังปรารถนา
ยังมนต์บทหนึ่งของมารดา ชื่อว่ามหาจินดามนต์
ถึงจะเรียกเต่าปลามัจฉาชาติ ฝูงสัตว์จัตุบาทในไพรสณฑ์
ครุฑาเทวัญชั้นบน อ่านมนต์ขึ้นแล้วก็มาพลัน
เจ้าเรียนไว้สำหรับเมื่ออับจน จะได้แก้กันตนที่คับขัน
แม่ก็คงจะตายวายชีวัน จงลงมาให้ทันท่วงที
นางพันธุรัตร้องไห้อ้อนวอนพระสังข์จนทระทั่งอกแตกตายด้วยความอาลัยรักพระสังข์ ซึ่งขณะนั้นพระสังข์ก็สับสน ไม่เชื่อในคำของนาง
จะลงไปก็ให้เกรงกริ่ง เกลือกว่าไม่จริงจะแกล้งปด
คิดพลางทางกล่าวมธุรส อย่ากำสรดโศกาอาวรณ์
ลูกนี้เหนื่อยยากลำบากกาย จะนั่งเล่นให้สบายบนนี้ก่อน
ตะวันเที่ยงอยุ่ยังกำลังร้อน พอให้แดดอ่อนอ่อนจะลงไป
ซึ่งมนต์ของชนนีว่าดีนัก ลูกรัก็อยากจะใคร่ได้
เมตตาลูกแล้วจงเขียนไว้ ที่ในแผ่นพื้นพสุธา
นางพันธุรัตนได้ฟังดังนั้นก็
      เมื่อนั้น พันธุรัตขัดสนเป็นหนักหนา
แหงนดูลูกพลางทางโศกา ดังหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย
โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ย กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไร ก็ช่างเฉยได้ไม่ดูดี
สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้ว เผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี
จะขอลาอาสัญเสียวันนี้ เจ้าช่วยเผาผีมารดา
อันพระเวทวิศษของแม่ไซร้ ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา
จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตา รู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง
เขียนพลางทางเรียกลูกน้อย มาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์
แต่พอให้ชมเสียสักครั้ง ขอสั่งสักคำจะอำลา
แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้ว น้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา
ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกา สองตาแดงเดือดดังเลือดนก
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก นางร่ำร้องจนอกแตกตาย
พระสังข์เห็นดังนั้นก็ลงมาคร่ำครวญอาลัยว่า
      โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ย พระคุณเคยปกเกล้าเกศี
รักลูกผูกพันแสนทวี เลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ
จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้า ดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้
สู้ติดตามมาด้วยอาลัย จนจำตายอยู่ในพนาวัน
โทษลูกนี้ผิดเป็นหนักหนา ดังแกล้งผลาญมารดาให้อาสัญ
ทั้งนี้เพราะกรรมมาตามทัน จึงสุดสิ้นชีวันบรรลัย
พระคุณล้ำลบจบดินแดน ยังไม่ทันทดแทนสนองได้
ร่ำพลางโศกีพิรี้พิไร ซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา
พระสังข์ลงมาจัดการเรื่องศพพระมารดา โดยสั่งไพร่พลให้จัดการใส่พระเมรุ แล้วพระสังข์ก็ ท่องมนตร์ได้แล้วท็เหาะไปจนถึงเมืองท้าวสามนต์
      ท้าวสามนต์มีธิดา ๗ นาง อยากจะให้นางทั้งเจ็ดมีคู่ เพื่อท้าวสามนต์จะได้ยกเมืองให้แก่เขย
ที่สามารถ มีปัญญาดี เป็นกษัตริย์ครองเมืองต่อไป
  
เจ้าชายเมืองต่าง ๆ ต่างเดินทางมาให้เลือกคู่
พี่นางทั้งหกของนางรจนาเลือกได้เจ้าชายต่างเมือง
เป็นสามี แต่รจนาธิดาองค์สุดท้องไม่เลือกใคร ท้าวสามนต์ให้ป่าวร้องชาวเมืองมาให้เลือกอีกหน รจนา
ไม่เลือก ในที่สุดท็ให้นำเจ้าเงาะมาให้เลือก
  
เจ้าเงาะเลี้ยงวัวควายกลางทุ่งหยอกล้อกับเด็ก และเจ้าเงาะถูกตามเข้าวังเพื่อมาให้นางรจนาเลอก
อันที่จริงท้าวสามนต์ตั้งใจจะประชดนางรจนาที่ไม่เลือกใคร เลยนำเจ้าเงาะมาให้เลือกพระสังข์ในรูปเงาะเห็นนางรจนาก็พอใจในความงามของนาง จึงอธิษฐานให้นางเห็นรูปทองของพระองค์ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปเงาะ รจนาได้เห็นรูปที่แท้จริงของพระสังข์
จึงเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ
 
รจนาเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะเพราะความงามภายใน
ท้าวสามนต์เสียใจมากจึงขับไล่นางรจนาให้ไปอยู่กับเจ้าเงาะที่ปลายนา
 
นางรจนากับเจ้าเงาะอยู่กระท่อมปลายนาอย่างมีความสุข
      ท้าวสามนต์รู้สึกอับอายและเสียเกียรติอย่างมากที่รจนาได้เจ้าเงาะเป็นสามี จึงวางแผนคิดฆ่า
เจ้าเงาะโดยให้เขยทั้ง ๗ คนไปหาปลามาคนละ ๑๐๐ ตัว ใครได้น้อยจะถูกฆ่า พระสังข์ร่ายมนตร์เรียก
ปลามาชุมนุมกัน หกเขยจึงหาปลาไม่ได้เลย มาพบพระสังข์ก็สำคัญผิดว่าเป็นเทวดาจึงขอปลาพระสังข์
จึงให้ปลาคนละ ๒ ตัวโดยขอแลกกับการเชือดปลายจมูก
 
เจ้าเงาะหาบปลาชวนนางรจนา ไปดูหกเขยจมูกแหว่ง
ท้าวสามนตร์โกรธมากที่อุบายไม่เป็นผล
จึงสั่งให้เขยทุกคนไปหาเนื้ออีก และก็เหมือนครั้งก่อน ด้วยเวทมนตร์ของพระสังข์ ฝูงเนื้อทราย
ทั้งหลายก็ไปชุมนุมอยู่กับพระสังข์ หกเขยได้เนื้อทรายไปคนละตัวโดยแลกกับการถูกเชือดใบหู
      พระอินทร์รู้สึกว่าอาสน์ที่ประทับของพระองค์แข็งกระด้าง จึงส่องทิพยเนตรดูก็เห็นว่านางรจนา
มีความทุกข์เพราะเจ้าเงาะไม่ยอมถอดรูป ทำให้ต้องตกระกำลำบากและถูกท้าวสามนต์หาเหตุ
แกล้งอยู่เนืองๆ พระองค์จึงแปลงองค์ลงมาท้าตีคลีพนันเอาเมืองทับท้าวสามนต์ ท้าวสามนต์ให้หกเขย
ไปตีคลีก็พ่ายแพ้ จึงจำใจไปอ้อนวอนเจ้าเงาะ เจ้าเงาะถอดรูปเป็นพระสังข์งดงามถูกใจท้าวสามนต์ ยิ่งได้ทราบว่าเป็นโอรสกษัตริย์ด้วยก็ยิ่งพอใจ พระสังข์ไปตีคลีทับพระอินทร์ได้ชัยชนะเพราะ
พระอินทร์แสร้งหย่อนอ่อนมือให้
      พระอินทร์ไปเข้าฝันท้าวยศวิมลพระบิดาของพระสังข์เพื่อสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชั่วและสั่งให้ไปรับนางจันท์
เทวีเพื่อไปตามพระสังข์ ท้าวศวิมลรับนางจันท์เทวีเดินทางไปตามพระสังข์ที่เมืองท้าวสามนต์
นางจันท์เทวีเข้าไปช่วยทำอาหารในฝ่ายที่ต้องทำอาหารถวายพระสังข์ นางนำชิ้นฟักมาแกะสลัก
เป็นเรื่องราวชีวิตตั้งแต่หนหลังแล้วนำมาแกง พระสังข์เสวยแกงเห็นชิ้นฟักก็สงสัยจึงนำมา
เรียงกันแล้วก็รู้เรื่องทั้งหมด ในที่สุดพ่อแม่ลูกก็ได้พบกันด้วยดี ท้าวยศวิมลขอโทษในความหลงผิด
ของตน และชวนกันกลับบ้านเมือง พระสังข์พารจนาไปด้วย บทละครนอกสังข์ทองฉบับ
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจบเรื่องแต่เพียงนี้
 
แนวคิดในเรื่องสังข์ทอง
      ๑. คนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
      ๒. ผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดน่าชัง เช่นเจ้าเงาะภายในอาจมีรูปทองอันสวยงามซ่อนอยู่
คารมเจ้าเงาะหยอกล้อรจนา
     แสนเอยแสนแขนง น้อยหรือแกล้งตัดพ้อต่อว่า
ติเล็กติน้อยคอยนินทา ค่อว่าพิไรไค้แคะ
พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่ง มันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ
เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ แฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง
อย่าประมาทรูปพี่เห็นขี้เหร่ ไม่ว่าเล่นเป็นเสน่ห์ชอบใจหญิง
ชาวรั้วชาววังไม่ชังชิง อุตส่าห์ทิ้งมาลัยมาให้เงาะ
ใช่ว่าจะแสร้งแกล้งอวดตัว นานไปพี่กลัวจะชมเปาะ
ว่าพลางเย้ายวนชวนหัวเราะ แกล้งปะเหล่าปะแหละและเลียม
ความเป็นอยู่ของเจ้าเงาะกับรจนาที่กระท่อม
     เช้าค่ำพร่ำสอนสั่งเสีย ให้เมียปั่นฝ้ายทอผ้า
เจ้าเงาะหัดตีกรับขับเสภา รจนาปั่นฝ้ายสบายใจ
เจ้าเงาะเอาใจแม่ยาย (นางมณฑา)
     แล้วลุกมาหาครกตำหมาก ไม่พบสากเจ้ากรรมใครทำหาย
ล้วงมือค้นได้ในก้นกระทาย เอาปูนป้ายพลูใส่ลงในครก
เมื่อเจ้าเงาะถอดรูปนางมณฑาชื่นชมลูกเขยและนางรจนา
     คิดคิดขึ้นมาน่าหัวเราะ เอารูปเงาะสวมใส่ทำใบ้บ้า
อัปยศอดอายขายหน้าตา เจ้าแกล้งแปลงมาแม่ไม่รู้
รจนายาจิตเจ้าคิดถูก หมายมั่นพันผูกก็ควรอยู่
ทีนี้แหละลอยแก้วแล้วลูกกู โฉมตรูแย้มยิ้มกระหยิ่มใจ
การติดต่อสื่อสารจากนางจันท์เทวีถึงพระสังข์
     จึงเลือกตักแต่ละชิ้นสิ้นชามฝา เพ่งพิจารณาทุกสิ่งสรรพ์
หลากใจหนักหนาน่าอัศจรรย์ พระทรงธรรม์ไม่บอกให้ใครฟัง
จึงเอาน้ำมาล้างแล้วงราย เห็นเป็นเรื่องนิยายหอยสังข์
พระมารดามาตามแล้วกระมัง คนอื่นทั้งเมืองเราไม่เข้าใจ
รูปสลักบนชิ้นฟักที่นางจันท์เทวีเล่าเรื่องราวเมื่อนำฟักมาวางเรียง
     ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
ชิ้นสองต้องทัณฑ์เที่ยวเซซัง อุ้มลูกไปยังพนาลัย
ชิ้นสามเมื่ออยุ่ด้วยยายตา ลูกยาออกช่วยขับไก่
ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน
ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์ ให้จับตัวลูกรักมาจากบ้าน
ชิ้นหกจองจำทำประจาน ให้ประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย
ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล
เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไท ใครใครไม่ทันจะสงกา ฯลฯ
อารมณ์เศร้า คร่ำครวญในเรื่องสังข์ทอง
      พ่อคุณทูลกระหม่อมของแม่เอ๋ย ทรามเชยทิ้งแม่้ให้โหยไห้
เช้าเย็นแม่จะเห็นหน้าใคร ดังกาเหยี่ยวเฉี่ยวไปก็เหมือนกัน
ลูกเอ๋ยเคยรับพระมารดา เมื่อมาแต่ป่าพนาสัณฑ์
พูดพลอดกอดแม่ไม่วายวัน กินนมชมกันทุกเวลา
ตัวกรรมมันตามมาล้างผลาญ พลัดบ้านเมืองแล้วยังมิสา
ยังมิหนำซ้ำพรากจากลูกยา อนิจจามีกรรมต้องจำไกล
รำพันพลางนางลาคนทั้งปวง เจ้าเหงาง่วงเดินมาน้ำตาไหล
เปล่าจิตผิดทางซังตายไป ดั้นด้นพงไพรร้องไห้มา
 
      นั่งอยู่ไยนั่นพ่อขวัญข้าว ขัดเคืองอะไรเล่าเจ้าจึงหนี
มาเถิดทูนหัวอย่ากลัวตี ดูเอาเถิดซียังมิมา
นางร่ำไห้แล้วซ้ำเรียก ปีนตะกายตะเกียกขึ้นไปหา
ด้วยเดชะอำนาจสัตยา เผอิญให้เลื่อยล้าสิ้นกำลัง
พลัดตกหกล้มนอนตะแคง ขาแข้งสีข้างขัดขึ้นดัดหลัง
โศกีตีอกเพียงจะพัง ทรุดนั่งกระแทกก้นจนใจ

 
 
บทละครเรื่องสังข์ทอง ตอน ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเเนื้อ
๏  เมื่อนั้น ท้าวท้าวสามนต์เป็นใหญ่
ตั้งแต่เงาะตาธิดาไป ให้แค้นขัดฤทัยทุทเวลา
รจนาเจ้ากรรมมันทำชั่ว มีผัวเงาะร้ายให้ขายหน้า
จำจะคิดอ่านด้วยมารยา พาลฆ่าเสียให้ได้ไม่ไว้เลย
  ฯ ๔ คำ ฯ
๏  คิดพลางทางสั่งเสนาใน จงรีบไปบอกบรรดาลูกเขย
กูจะให้แต่งตั้งสังเวย ตามเคยบวงสรวงเทวัญ
พรุ่งนี้หาปลามาคนละร้อย ใครได้น้อยจะฆ่าให้อาสัญ
ทั้งอ้ายเงาะขี้ครอกจงบอกมัน มิได้ปลามาทันจะบรรลัย
  ฯ ๔ คำ ฯ
๏  บัดนั้น เสนารับสั่งบังคมไหว้
วิ่งวางออกจากวังใน มายังบ้านเขยใหญ่ทั้งหกองค์
  ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏  ครั้นถึงจึงแถลงแจ้งคดี บัดนี้รับสั่งต้องประสงค์
เร่งหาปลามาให้ดังใจจง เอาไปส่งให้ทันพระบัญชา
  ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏  เมื่อนั้น หกเขยเกษมสันต์หรรษา
ยิ้มพลางทางตอบเสนา ผักปลาหน้านี้มีถมไป
อย่าว่าแต่เท่านั้นท่านจะเอา ถึงจะลงสำเภาก็รับได้
อาสาพ่อตาแล้วเต็มใจ จะหาให้สุดฤทธิ์ไม่บิดพลิ้ว
สงสารแต่เงาะป่าประดาเสีย จะพาเมียสุ่มช้อนจะอ่อนหิว
เต็มทีจะได้มาแต่ปลาซิว ท้าวจะกริ้วโกรธาให้ฆ่าฟัน
ว่าพลางทางสั่งบ่าวไพร่ พรุ่งนี้กูจะไปแต่ไก่ขัน
เรือนแพแหอวนทุกสิ่งอัน เร่งรัดจัดกันให้พร้อมไว้
  ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏  บัดนั้น เสนาลาหกเขยใหญ่
ชวนกันรีบออกนอกเวียงชัย ตรงไปยังบ้านปลายนา
  ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏  ครั้นถึงจึงยืนอยู่นอกรั้ว ระวังตัวกลัวสุนัขหนักหนา
ร้องเรียกเข้าไปมิได้ช้า หม่อมแม่รจนาอยู่แห่งใด
  ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏  เมื่อนั้น รจนาสาละวนลนควันไต้
จับกระเหม่าใสน้ำมันกันไร ถึงยากเย็นเข็ญใจมิให้รก
ทาแป้งแต่งตัวไม่มัวหมอง ผัดหน้านั่งมองส่องกระจก
นุ่งผ้าจัดกลีบจีบชายพก แล้วยกของมาให้ผัวกิน
จีบพลูใส่ซองรองลำดับ เอามีดพับผ่าหมากจนปากบิ่น
เจ้าเงาะนอนถอนหนวดสวดสุบิน เล่นลิ้นละลักยักลำนำ
  ฯ ๖ คำ ฯ
 
๏  รจนานิ่งฟังนั่งหัวเราะ น้อยหรือเพราะแจ้วเจื่อยเฉื่อยฉ่ำ
ไม่ทันถึงใบสมุดหยุดกินน้ำ สวดซ้ำอีกสักนิดยังติดใจ
  ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏  พอได้ยินแว่วเสียงเสนี มาร้องเรียกอยู่ที่ริมไร่
นางจึงลุกเดินออกไป ยืนเยี่ยมกระไดมองดู
  ฯ ๒ คำ ฯ
๏  บัดนั้น เสนาหยุดยั้งนั่งคอยอยู่
เรียกพลางทางมองที่ช่องประตู เห็นโฉมตรูเดินออกมานอกชาน
จึงเข้าไปบังคมก้มหน้า น้ำตาไหลลงด้วยสงสาร
แล้วทูลแถลงเล่าเยาวมาลย์ ตามบัญชาการพระทรงยศ
บัดนี้มีรับสั่งใช้มา ให้เจ้าเงาะเสาะหาปลาสด
ทั้งหกเขยใหญ่ก็ไม่ลด กำหนดให้ทันวันพรุ่งนี้
ใครได้ไม่ครบร้อยน้อยไป พระจะให้ฆ่าฟันบั่นเกศี
ทูลแถลงแจ้งความตามคดี อัญชลีแล้วกลับไปฉับไว
  ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏  เมื่อนั้น รจนาอกสั่นหวั่นไหว
เข้าไปในกระท่อมทันใด กอดตีนผัวไว้แล้วโสกา
  ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏  อกเอ๋ยโอ้ว่าครานี้ น่าที่จะม้วยสังขาร์
สมเด็จบิตุเรศไม่เวทนา จะคิดอ่านพาลฆ่าชีวาลัย
ให้หาปลาเป็นร้อยน้อยหรือนั่น ประกวดกันกับเขาเหล่าเขยใหญ่
มั่งมีศรีสุขทุกข์อะไร ประเดี๋ยวเดียวก็จะได้ง่ายดาย
วิตกแต่ส่วนตัวผัวรัก ยากนักจะซุกซนขวนขวาย
ผัวเมียสองคนจนจะตาย จะหาปลาไปถวายที่ไหนทัน
ถ้าพระรูปทองน้องบรรลัย เมียจะตามเข้าไปมิได้พรั่น
จะให้เข้าพิฆาตฟาดฟัน สู้ตายตามกันไปไม่คิดกลัว
ไม่ขออยู่ดูหน้าคนทั้งหลาย มิให้ชายอื่นต้องเป็นสองผัว
ว่าพลางนางทุ่มทอดตัว ตีอกชกหัวเข้าร่ำไร
  ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏  เมื่อนั้น เจ้าเงาะยิ่งคิดพิสมัย
ปลอบนางพลางเช็ดชลนัยน์ โลมเล้าเอาใจให้เคลื่อนคลาย
  ฯ ๒ คำ ฯ
๏  น้องเอยน้องรัก งามพักตร์ผ่องเหมือนดั่งเดือนหงาย
อย่าครวญคร่ำน้ำเนตรฟูมฟาย แสนเสียดายนวลน้องจะหมองมัว
ทั้งในใต้ฟ้าไม่หาได้ พี่ขอบใจเจ้านักที่รักผัว
ทำไมกับมัจฉาเจ้าอย่ากลัว สักแสนตัวก็จะได้ไม่ยากนัก
ไปนอนเสียให้สบายหายเจ็บหลัง จะมานั่งโศกาด้วยปลาผัก
แย้มสรวลชวนชิดจุมพิตพักตร์ น้องรักเจ้าอย่าปรารมภ์เลย
ถึงยากจนคนเดียวก็หาได้ พี่หาพรั่นไม่อ้ายหกเขย
ว่าพลางภิรมย์ชมเชย หลับนอนตามเคยสบายใจ
  ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม
  
 
๏  ครั้นอุทัยไขแสงขึ้นสางสาง พระโลมนางพลางลูบหลังไหล่
สั่งเสียรจนาด้วยอาลัย พี่จะไปสักประเดี๋ยวเที่ยวหาปลา
ว่าพลางทางจับไม้เท้าทรง ใส่เกือกแก้วแล้วลงจากเคหา
แผลงฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้า ตรงมายังฝั่งชลธาร
  ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏  ครั้นถึงจึงลงหยุดนั่ง ที่ร่มไทรใบบังสุริย์ฉาน
ถอดเงาะซ่อนเสียมิทันนาน แล้วโอมอ่านมหาจินดามนต์
  ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏  เดชะเวทวิเศษของมารดา ฝูงปลามาสิ้นทุกแห่งหน
เป็นหมู่หมู่มากมายในสายชล บ้างว่ายวนพ่นน้ำคล่ำไป
  ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏  เมื่อนั้น ฝ่ายเจ้าเหล่าหกเขยใหญ่
ครั้นรุ่งเรียกหาข้าไท บ่าวไพร่นับร้อยไม่น้อยเลย
แต่งองค์ทรงเสื้อลงเรือญวน แหอวนของใครเอาไปเหวย
ภรรยาหาขนมนมเนย ตามเคยขนส่งลงมาพลัน
  ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏  ครั้นจัดแจงพร้อมมูลไม่ขาดเหลือ ให้ออกเรือจากที่ขมีขมัน
เรืออวนเรือแหแจจัน เร่งกันตามนายพายมา
  ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏  พ้นด่านบ้านช่องล่องเลย ถึงท้องคุ้งที่เคยมีมัจฉา
หกองค์ทรงแหทอดปลา ลอยมาสองฟากลากเบ็ดราว
บ้างเอาลอบลงดักตักสวิง ริมตลิ่งลากอวนอื้อฉาว
ติดแต่จระเข้อยู่เกรียวกราว นายบ่าวต่างโกรธโทษกัน
แล้วพายเลียบริมฝั่งมาทั้งพวก ถือฉมวกยืนคอยแทงหวั่น
บ้างลงเฝือกปิดคลองไว้สองชั้น แล้วช่วยกันตีน้ำร่ำมา
  ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏  ปลาผักสักตัวก็ไม่ได้ คิดอัศจรรย์ใจเป็นหนักหนา
รีบพายมาจนถึงบึงปลายนา พบมัจฉานับแสนแน่นไป
เห็นพระสังข์นั้งอยู่ที่ฝั่งชล ต่างคนพิศวงสงสัย
จะเป็นเทพารักษ์หรืออะไร เถียงกันวุ่นไปทั้งไพร่นาย
จึงวาดแวะนาวาเข้ามาพลัน ทั้งหกอกสั่นขวัญหาย
ต่างก้มกรานหมอบยอบกาย บ่าวนายนึกคะเนว่าเทวา
  ฯ ๖ คำ ฯ
๏  เมื่อนั้น พระสังข์นั่งยิ้มอยู่ในหน้า
เห็นหกเขยเคอะเซอะมา สมดังจินดาก็ยินดี
จึงเสแสร้งทำไม่รู้จัก ถามทักซักไซ้ไปไหนนี่
เอะแล้วออเจ้าเหล่านี้ หน่วยก้านพานจะดีมีฝีมือ
เรือแพแหอวนก็เอามา จะลอบลักดักปลาของข้าหรือ
เราเป็นเทพเจ้าเล่าลือ นับถือทุกแห่งแพร่งพราย
แต่หักคอคนตายเสียหลายพัน อย่าดุดันดูหมิ่นมักง่าย
มาหาเรานี้ดีหรือร้าย บอกยุบลต้นปลายให้แจ้งใจ
  ฯ ๘ คำ ฯ
 
๏  เมื่อนั้น ทั้งหกอกสั่นหวั่นไหว
สำคัญจิตคิดว่าพระไพร กราบไหว้ท่วมหัวกลัวฤทธา
ใจคอทึกทึกนึกพรั่น ปากสั่นเสียงสั่นซังตายว่า
ท่านท้าวสามนต์ผู้พ่อตา ให้หาปลาประกวดกับอ้ายเงาะ
ข้าทอดแหแปรช้อนแต่เช้าตรู่ ออกอ่อนหูหิวหอบเที่ยวรอบเกาะ
ไม่ได้ปลาสักหน่อยชะรอยเคราะห์ ฉวยแพ้อ้ายเงาะซิน่าอาย
กลัวท้าวพ่อตาจะฆ่าเสีย สงสารแต่เมียจะเป็นม่าย
เทวดาเลี้ยงปลาไว้มากมาย ข้าขอไปถวายพอรอดตัว
  ฯ ๘ คำ ฯ
๏  เมื่อนั้น พระสังข์ได้ฟังก็ยิ้มหัว
จึงว่าหกเจ้านี้เมามัว ไม่กลัวบาปกรรมทำประมง
แต่ได้มาขอแล้วก็จำให้ เราไซร้จะขอมั่งดังประสงค์
จะให้หรือมิให้ทั้งหกองค์ ท่านจงปรึกษาหารือกัน
  ฯ ๔ คำ ฯ
๏  เมื่อนั้น หกเขยรับคำขมีขมัน
พระองค์จะประสงค์สิ่งใดนั้น สารพันมีแล้วไม่ขัดเลย
สุดแท้แต่ตามจะเลือกเอา เป็ดไก่เหล้าข้าวของเสวย
ทั้งกล้วยอ้อยขนมนมเนย จะแต่งตั้งสังเวยเซ่นวัก
  ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏  เมื่อนั้น พระสังข์กล่าวแกล้งแจ้งประจักษ์
เราเป็นเทวดาสุรารักษ์ จะเซ่นวักสิ่งของไม่ต้องใจ
จะขอปลายจมูกหม่อมลูกเขย ตามเคยคนละน้อยหามากไม่
แม้นให้เราเราจะให้ปลาไป จะให้หรือมิให้ให้ว่ามา
  ฯ ๔ คำ ฯ
๏  เมื่อนั้น หกเขยได้ฟังนั่งปรึกษา
ชิชะเจ้าเลห์เทวดา จะเอาปลาแลกปลายจมูกคน
แม้นเชือดเสียเมียเห็นจมูกด้วน จะทำกระบวนผินหลังนั่งบ่น
ซองสำคัญหนักหนาเข้าตาจน จะผ่อนปรนแก้ไขอย่างไรดี
บ้างว่าอย่าพักประดักประเดิด ทนเจ็บเอาเถิดไม่จู้จี้
หาปลาที่ไหนก็ไม่มี อ้ายเงาะดีหาได้สิอายมัน
นั่งนิ่งก้มหน้าดูตากัน เชือดเสียเห็นวันจะได้ไป
ต่างยอมพร้อมใจไม่กลัวเจ็บ ฉวยได้มีดเหน็บของบ่าวไพร่
ยื่นให้เทวัญทันใด ทอดถอนใจใหญ่ย่อท้อ
  ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏  เมื่อนั้น พระสังข์สรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
ยิ้มพลางทางตรัสตัดพ้อ เอออะไรใจคอเหมือนปลาซิว
แล้วเอามีดกรีดลักกับศิลา ทั้งหกตกประหม่าหน้านิ่ว
มือบีบหนีบจมูกไว้สองนิ้ว อย่าบิดพลิ้วดุดดิกพลิกแพลง
ทำเงื้อมีดกกระหยับจับจ้อง ที่ใจชั่วกลัวร้องจนเสียงแห้ง
เอาแล้วนะฉะเชือดเลือดแดง จมูกแหว่งโหว่วิ่นสิ้นทุกคน
  ฯ ๖ คำ ฯปี่กลอง
  
 
๏  เมื่อนั้น ทั้งหกลูลแผลพลางครางร่น
เจ็บแสบแทบเต็มทน ต่างคนต่างแลดูแผลกัน
เขยใหญ่ใจแข็งทำแกล้งว่า จมูกด้วนดูหน้าเ

คำสำคัญ (Tags): #สังข์ทองลูกแม่
หมายเลขบันทึก: 219965เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 12:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)
  •       ๑. คนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
          ๒. ผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดน่าชัง เช่นเจ้าเงาะภายในอาจมีรูปทองอันสวยงามซ่อนอยู่
  • ข้อ 1 อาจจะมีแต่ใน นิทานก็ได้นะคะ 
  • ข้อ 2 เห็นด้วยค่ะ ไม่ควรมองคนแต่รูปลักษณ์ภายนอก
  • ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับความตั้งใจในการอนุรักษ์ ค่ะ

สวัสดีจ๊ะพ่อหนุ่มหน้ามล...เป็นกำลังใจให้เขียนได้เยอะ ๆ...ขอมอบพวงมาลัยให้.......

สวัสดีครับ

ผมนึกว่าคุณเป็นพระสังข์ซะอีก จะได้กินปลาด้วย เอาไว้เรียกให้ด้วยนะครับ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ผมไม่ได้เป็นพระสังข์หรอกครับ แต่ผมเป็น"พระเอก" อิอิ

ละครนอกเรื่องสังข์ทอง สมัยรัชการที่ ๗

สังข์ทอง  ละครช่อง ๗ สี

 

พระสังข์น้อย

พระสังข์ รจนา และเจ้าเงาะ

ผมอยู่เมืองทุ่งยั้ง

เมืองเจ้าเงาะครับ

มีหลุมคลีด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท