เป็นไปได้มากทีเดียวครับว่า
"ความไม่เข้าใจ" เป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ
อย่าว่าแต่ไม่เข้าใจคนอื่นเลย ตัวเองก็ไม่เข้าใจตนเองออกบ่อย
ในหลากหลายบริบทของชีวิต
และนี่คือปัญหาหนึ่งของชีวิต
ในฐานะปัจเจกชน
หรือสมาชิกหนึ่งของครอบครัว ชุมชน สังคม
หรือองค์กร
ความไม่เข้าใจกันของคนเป็นปรากฏการณ์ปกติ ที่ก่อให้เกิดความไม่ปกติขึ้นในระหว่างกัน
มากบ้าง น้อยบ้าง
ความแตกต่างก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ความไม่เข้าใจกันถ่างออกไปเรื่อยๆ
จนยากจะสมานกัน
มนุษย์ได้เรียนรู้จากประสบการณ์
จากความเจ็บปวดและน้ำตา
มากมาย
บันทึกเรื่องราวเปรียบเสมือน KM ของชีวิตจริงของมนุษย์ รุ่นแล้วรุ่นเล่า
แต่...ในยุคที่อะไรก็ KM รหัสของมันกลับถูกละเลยจากการถอดบทเรียนเพื่อเรียนรู้
ความไม่เข้าใจกัน
ยังคงสถิตติดตรึง
และเยาะเย้ยเราอยู่ทุกนาทีชีวิต
จนกว่าเราจะพร้อมที่จะเข้าใจกัน
ปัญหาบางอย่างไม่ได้สลับซับซ้อนเลย
แต่เพราะความพยายามที่จะไม่เข้าใจกัน
เลยกลายเป็นซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ยากที่จะจัดการคลี่คลาย
บางอย่างกลายเป็นปัญหาเพราะความเข้าใจกัน
ที่ต่างคนก็ต่างเข้าใจ
และที่แปลกก็คือ "ความรู้" เองก็กลายเป็นชนวนแห่งความไม่อาจเข้าใจกันเสียอีก
บอกตัวเองเสมอๆว่า
อย่าคาดหวังให้ใครเข้าใจ
ขอเพียงเราเข้าใจว่า เรา (หมายถึงทุกคนทุกฝ่าย) ต่างก็มีสิทธิที่จะไม่เข้าใจด้วยกัน
อย่าน้อยที่สุดก็จะไม่ทำให้ "ความไม่เข้าใจกัน" ขยายใหญ่โตเกินกำลังที่เราจะควบคุมมันอยู่
แค่นี้ ก็พอแล้วมิใช่หรือ?
เขียนได้ดีมากครับอาจารย์ ลุ่ลึกในเนื้อหา สาระ
อยากให้ทุกๆฝ่ายทุกๆองค์กรได้อ่านบันทึกนี้จัง เพื่อจะได้เป็นพลังขับเคลื่อนอย่างถูกทิศทาง ระวางความระหองระแหงซึ่งกันและกัน ห้ำหั่นกันพลันจะเสียหายเปล่าๆ นะครับ...ดีมากครับ บันทึกนี้
ขอบคุณ
มากๆครับ เราคงต้องร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้คนละมือครับ