สานเสวนา แก้ปัญหาวิกฤติการเมืองและสังคมได้จริงหรือ?* ปัจจุบัน คำว่า “สานเสวนา” กำลังเป็นประเด็นทางเลือกที่หลายฝ่ายออกมาให้ความคิดเห็นโดยเฉพาะสถาบันพระปกเกล้า และสภาพัฒนาการเมือง ได้เสนอ ประโยคที่ว่า “ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการเสวนา” ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่หลายฝ่ายเห็นว่าได้นำไปสู่การแตกแยกทางความคิด และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคมไทย อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า สานเสวนา ว่าหมายถึงอะไร และจะปฏิบัติอย่างไร คำว่า สานเสวนา หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สุนทรียสนทนา” (dialogue) เป็นการสนทนาเพื่อการคิดร่วมกัน ซึ่งคำว่า dialogue มีรากศัพท์มาจาก dia + logos ตัวคำว่า logos นั้นมาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า “ถ้อยคำ” หรือ “ความหมายของคำ” ส่วนคำว่า dia นั้นแปลว่า “สอง” ดังนั้นในความหมายปกติของ dialogue แล้วคือ “การสนทนาของคนสองคน” หากลองคิดใหม่แบบเดวิด โบห์ม ว่า dia แทนที่จะแปลว่า “สอง” ก็เปลี่ยนเป็นแปลว่า “ทะลุ” ดังนี้แล้วความหมายอันสุนทรียะของวงสนทนาก็จะปรากฏขึ้น ความหมายใหม่คือ การสนทนาเพื่อทะลุความหมายของคำอันจะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ตามแนวทางของเดวิด โจเซฟ โบห์ม (ค.ศ. 1917 – 1992) นักฟิสิกส์สายควอนตัมผู้มีชื่อเสียงจากฝั่งอเมริกา ผลงานอันโดดเด่นของเขาอยู่ในพื้นที่ของฟิสิกส์ทฤษฎี ปรัชญา จิตวิทยาสมอง เขาเห็นว่าการสื่อสารคือการสร้างโลกแห่งความหมายร่วมกัน นั่นคือผู้สื่อสารมีความเข้าใจร่วมกัน แต่นั่นคือสภาวะทางอุดมคติ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์แต่ละคน ต่างก็สร้างเกราะปราการขึ้นปกป้องความคิดความเห็นของตนเอง และบอกปัดปฏิเสธความคิดความเห็นของผู้อื่น แทนที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกัน เดวิด โบห์ม เห็นว่า สุนทรียสนทนาสามารถสลายปัญหานี้ได้ ด้วยกระบวนการกลุ่มร่วมกัน โดยให้แต่ละคนส่องสะท้อนความคิด และความรู้สึกของตนเองผ่านคนอื่นในกลุ่ม ให้การสนทนาเป็นไปอย่างลื่นไหล โดยไร้การตั้งญัตติล่วงหน้าไว้แล้ว เน้นให้ผู้เข้าร่วมสุนทรียสนทนาทุกท่านได้พูด โดยพยายามไม่ให้ใครนำวงสนทนา และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ให้ผู้เข้าร่วมทุกท่านทิ้งสมมติฐานใดๆที่อยู่ในใจ ไปเสียก่อน คือ อย่าเพิ่งรีบตัดสินผู้เข้าร่วมคนอื่น หรือความเห็นของผู้เข้าร่วมคนอื่น โดยฉับพลัน แต่ให้รับฟังอย่างตั้งใจและพิเคราะห์ จนทั้งวงสุนทรียสนทนาเกิดความหมายใหม่ร่วมกันที่ไม่อาจจะคาดเดาล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการระดมความคิดเพื่อค้นหาวิธีการและความรู้ใหม่ๆในการทำงาน รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในระดับบุคคลได้ดีอีกด้วย การสนทนามีเงื่อนไขสำคัญ ซึ่งอาจอนุโลมเป็นกฎกติกา 3 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1) ฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) ประการที่ 2) มีความรู้สึกเป็นอิสระ ผ่อนคลาย ประการที่ 3) เคารพในความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) โดยพยายามไม่ใส่ใจว่า เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของใคร เพียงแค่กำหนดใจให้รู้ได้ว่า เสียงที่ได้ยิน คือเสียงของกัลยาณมิตรของเราคนหนึ่ง ที่ปรารถนาจะให้เราได้ยินได้ฟังแต่สิ่งดีๆเท่านั้น ถ้าหากฟังอย่างตั้งใจ อาจจะมีความคิดบางอย่างวาบขึ้นมาในใจ และความคิดนั้น อาจจะถูกนำไปใช้ในการเริ่มต้นของการทำอะไรบางอย่างที่มีคุณค่าต่อตนเองและสังคมได้ในอนาคต การยอมรับในหลักการของสุนทรียสนทนา คือความพยายามเบื้องต้นในการถอดถอนอิทธิพลของอำนาจ อุปาทาน ซึ่งทำงานอยู่ในรูปของระบบสัญญลักษณ์ พิธีการต่างๆที่ห่อหุ้มตัวตนไว้ในโลกอันคับแคบ หดหู่ ซึมเศร้า และเป็นสถานบ่มเพาะเชื้อแห่งความรุนแรงไว้อย่างล้ำลึก เชื่อกันว่า หากคนสามารถก้าวข้ามสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปได้ จิตใจก็จะถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ (deliberation) สามารถเรียนรู้จากการฟังได้อย่างไม่มีข้อจำกัด David Bohm ทิ้งท้ายไว้อย่างถ่อมตัวว่า เขาไม่เชื่อหรอกว่าสิ่งที่เขาเรียกว่า dialogue หรือ “สุนทรียสนทนา” นั้น จะเป็นคำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาอันสลับซับซ้อนบนโลกใบนี้ได้ทุกเรื่อง แต่เขาคิดว่าสุนทรียสนทนาเป็นเพียงการเริ่มต้นของการแก้ปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้นนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น Dialogue จึงเป็นเครื่องมือเชิงปฏิบัติเพื่อให้กลุ่มเกิดการคิดและการเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นที่การฝึกฝนทักษะส่วนบุคคล ซึ่งแม้ว่า Dialogue จะแปลว่า การสนทนา แต่หัวใจสำคัญคือการฟังอย่างลุ่มลึกและพัฒนาพลังของการคิดร่วมกันให้ความสำคัญกับการไตร่ตรองความคิดเป็นการคิดที่ลุ่มลึกลงไปในระดับของจิตใจ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนากระบวนการคิดเพื่อความเข้าใจในระดับที่หยั่งลึกได้ ซึ่งประเด็นวิกฤติทางการเมืองและสังคมในปัจจุบันนั้น ได้มาถึงจุดหนึ่งที่ต้องหาทางออกร่วมกัน ดังนั้น การสานเสวนา จึงเป็นเครื่องมือในการให้ทุกฝ่ายมาร่วมสนทนาและรับฟังความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายอย่างลึกซึ้ง โดยมีการจัดให้มีการสานเสวนากันโดยปฏิบัติตามแนวทางของกระบวนการสานเสวนา หรือ สุนทรียสนทนาอย่างถูกต้อง จะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการสานเสวนา ส่วนการแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการเมืองและสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะแก้ปัญหาด้วยการสานเสวนาได้หรือไม่นั้น จะต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะว่ากระบวนการสานเสวนาต้องใช้เวลาในการคิดและกระบวนการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จนกว่าจะปรากฏออกมา และควรจัดให้มีการสานเสวนาจากทุกฝ่ายให้บ่อย เพื่อให้เกิดพลังแห่งการคิดร่วมกันจนสามารถแก้ปัญหาและหาทางออกให้กับสังคมการเมืองไทยต่อไป
สวัสดีค่ะ
จงยืนอยู่อย่างมั่นคงในที่เหมาะสมแห่งตน
หากตัด การจาบจ้วงดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายสถาบัน ที่ทำกัน โดยกลุ่มเสื้อแดงที่สนามหลวงออกไปแล้ว ผมคิดว่า การเสวนา พอมีทางออกครับ แต่การทำกับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยนี่สิครับ มันเจ็บลึก