ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย 2


รู้ไว้ใช่ว่า

ทำไมจึงเรียก เย็นตาโฟ


เย็นตาโฟไม่ใช่ภาษาไทยแน่นอน ยิ่งเป็นชื่อเรียกก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่งด้วยแล้ว ชื่อนี้ต้องมาจากภาษาจีนแน่ ๆ

แต่ถ้าไปถามคนจีนในประเทศจีนว่า เคยกินเย็นตาโฟไหม เขาคงงง !

เพราะ "เย็นตาโฟ" เป็นภาษาจีนที่เรียกอย่างสะดวกปากคนไทย

อาจารย์นพพร สุวรรณพานิช ผู้จัดทำพจนานุกรมหัวป่าก์และปลายจวัก กล่าวถึงอาหารชนิดนี้ว่า เย็นตาโฟที่เราชอบกินกันนั้น ภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ยี่อ่องเต่าฝู่ เป็นอาหารคาวใส่ผักบุ้ง เต้าหู้ เลือดหมู ภาษาอังกฤษพูดว่า brewed bean curd

ชื่อ ยี่อ่องเต่าฝู่ คนไทยเรียกกันไปเรียกกันมา ก็กลายเป็น เย็นตาโฟ เรื่องภาษาเพี้ยนนี่ เป็นเรื่องถนัดของคนไทย ภาษาต่างชาติที่ออกเสียงยาก คนไทยจะดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นตัวเอง...สบายไป

เย็นตาโฟที่ชาวไทยกินอยู่เวลานี้ ต้องใส่ซอสแดง (บางทีอาจใช้เต้าหู้ยี้มาก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นซอสแดงให้ถูกสตางค์ลง) ปลาหมึกกรอบ บางร้านใส่แมงกะพรุน แต่ระยะหลังมีคนเจ้าคิด (อาจคิดโดยผู้นิยมอาหารมังสวิรัติ) ใช้เห็ดหูหนูขาวแทน ขอยกนิ้วให้คนคิด เพราะเห็ดหูหนูขาวเคี้ยวเพลิน ให้สัมผัสเหมือนแมงกะพรุน แต่ไม่เหม็นคาวเลย

ทำไมจึงเรียกประเทศเนเธอร์แลนด์ว่าฮอลแลนด์



ในจำนวนประเทศที่มีนักฟุตบอลฝีเท้าดี ลีลาสวยงาม นักเตะหนุ่มแน่น ผมว่าต้องยกให้เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ หรือ อัศวินสีส้ม หรือ กังหันลมสีส้ม

ที่เรียกว่าอัศวินสีส้ม เพราะนักเตะจะใส่เสื้อสีส้มลงแข่งฟุตบอลโลกทุกครั้ง จนเป็นสีประจำทีมไปแล้ว ส่วนที่เราตั้งสมญานามว่า กังหันลมสีส้ม เพราะประเทศนี้มีกังหันลมมากที่สุด แลผมคิดว่าสวยงามที่สุดด้วย

ที่น่าแปลกใจมาก ๆ คือ ผมไม่รู้ว่าประเทศนี้ชื่ออะไรกันแน่ เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์

ผมต้องไปหาข้อมูลอีกแล้ว แล้วก็พบว่าชื่อ ฮอลแลนด์ เป็นชื่อของมณฑลหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการค้า ราว ๆ ศตวรรษที่ 16 - 18 ประชาชนในมณฑลภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตนเองยิ่งนัก และจงรักภักดีต่อมณฑลของตัวเองมากกว่าประเทศโดยรวมเสียอีก ชื่อ ฮอลแลนด์จึงเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ชนชาติอื่นที่ติดต่อการค้าด้วยจึงเรียกชื่อ ฮอลแลนด์ ให้เป็นชื่อของประเทศ

ส่วนคำว่า "เนเธอร์" นั้นแปลว่า ต่ำกว่าพื้นผิวโลก เพราะที่ตั้งของประเทศเป็นพื้นที่ลุ่มเต็มไปด้วยหนองบึงใกล้ปากแม่น้ำไรน์ บางทีเรียกว่า "ประเทศต่ำ" หรือ "the Low Countries" ซึ่งชื่อในภาษาเยอรมันใช้คำว่า "Niederlande" และชื่อในภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า "les PaysBas" ทั้งสองคำแปลว่า ประเทศต่ำ เหมือนกัน

จริง ๆ แล้วชนพื้นเมืองเรียกชื่อประเทศอย่างเป็นทางการของเขาว่า เนเดอร์แลนด์ (Nederland) แต่อังกฤษเรียกว่า เนเธอร์แลนด์ (Netherlands)

แต่ละประเทศก็มีที่มาของชื่อแตกต่างกันไปนะครับ อย่างประเทศไทยเมื่อก่อนเราก็เรียกว่า สยาม บางชนชาติเรียกเราว่า บางกอก (Bangkok) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อ ประเทศไทย ในปัจจุบัน

สำหรับฮอลแลนด์ ผมว่าเขามีลีลาการแตะที่สวยงาม และเล่นดีมาก ผมจึงหวังว่าน่าจะเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายตามอังกฤษไปด้วย หรือเพื่อนว่าอย่างไรครับ

 

 

 

ที่มาว่าเหตุใดราหูถึงอมจันทร์

 

พระฤษีทุรวาส พระฤษีองค์นี้ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปต่อกรและรบกวนท่าน ก็เพราะว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์มากมายทั้งคาถาและวาจาประกาศิต ถ้าหากใครดีกับท่านแล้วท่านก็จะส่งเสริมตลอดไปแต่หากท่านลองโกรธผู้ใดแล้วไม่ว่าผู้นั้นจะมีฤทธิ์เดชสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถสู้ฤทธิ์เดชของท่านได้เลยไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือว่าพระิอินทร์ก็จะต้องพากันหน้าแตกไปตามๆกัน เพราะไม่สามารถที่จะป้องกันในฤทธิ์เดชของท่านได้
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านได้ออกจากฌานแล้ว ท่านก็เข้าไปในป่าหิมพานต์เพื่อจะหาอาหารและผลไม้ บังเอิญได้พบเทพธิดาที่สวยงามนางหนึ่ง นางได้นำพวงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกไม้สดจากสวรรค์นำมาถวายองค์พระฤษีทุรวาส พระฤษีก็รับพวงมาลัยนั้นมาแล้วนางฟ้าก็ลากลับไป
พระฤษีก็สดชื่นแจ่มใสที่พวงมาลัยดอกไม้สดนั้นส่งกลิ่นหอมอบอวล ไม่มีดอกไม้ในโลกที่จะเปรียบเทียบในกลิ่นหอมของดอกไม้จากสวรรค์นี้ได้ แล้วในที่สุดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้นก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้มีอาการคลุ้มคลั่ง เที่ยวร้องเพลงและเต้นรำไปในอากาศอย่างสนุกสนาน โดยมิได้รู้สึกตนเองเลยสักนิดเดียว ในขณะที่พระฤษีเต้นๆรำๆ และร้องเพลงเหาะมาในอากาศนั้น ก็บังเอิญพระอินทร์ได้ทรงช้างผ่านมาทางนั้นและก็พบกับพระฤษีพอดี เมื่อพระฤษีขณะคลั่งไคล้ใหลหลงลืมตัวอยู่นั้นเห็น
พระอินทร์ก็จำได้ จึงได้ถวายพวงมาลัยดอกไม้สดพวงนั้นให้กับพระอินทร์ พระอินทร์ก็รับด้วยความเต็มใจ แล้วจึงนำเอามาวางไว้บนหัวช้างเอราวัณ เมื่อช้างเอราวัณได้กลิ่นดอกไม้นั้นแล้ว ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับพระฤษี จึงเอางวงจับพวงมาลัยนั้นมากระทืบๆ จนพวงมาลัยนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี
ฝ่ายพระฤษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นแล้วก็โกรธ เข้าใจว่าพระอินทร์ดูถูกและเหยียดหยามจึงได้เอาดอกไม้นั้นไปให้ช้างกระทืบเล่น ด้วยความโกรธจนตาแดงก่ำ เลยสาปให้พระอินทร์และเทวดาที่ร่วมมาด้วย มิหนำซ้ำยังส่งคำสาปไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้พระิอินทร์และเทวดาถอยกำลังมีฤทธิ์น้อยลงไป เมื่อใดที่จะต้องมีการสู้รบกับพวกอสูร ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็จะต้องพ่ายแพ้กับอสูรย์อย่างยับเยิน ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็พากันตกใจอ้อนวอนและขอโทษกับพระฤษี เพราะว่ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นความผิดของช้างต่างหากที่ได้กระทำลงไปเช่นนั้น
พระฤษีทุรวาสก็ไม่ฟังเสียงโดยอ้างว่า เป็นพระอินทร์ทำไมบังคับช้างไม่ได้ พระฤษีก็ไม่ยอมให้อภัยใดๆทั้งสิ้น ว่าแล้วก็เหาะจากไปจากที่นั้นโดยเร็ว นับแต่บัดนั้นมาทั้งพระอินทร์และเทวดาจึงไม่มีฤทธิ์เหมือดังแต่ก่อน เมื่อเกิดสงครามกับพวกอสูรทุกครั้ง จะต้องพ่ายแพ้แก่พวกอสูรทุกครั้งไปต่อจากนั้นพระนารายณ์จึงคิดแก้ไขให้มีการกวนน้ำอมฤตกันขึ้นมา เพื่อจะให้พระอินทร์และเทวดาได้ดื่มกัน เพื่อจะได้มีฤทธิ์เหมือนดังเดิม
ก็นับได้ว่าพระฤษีทุรวาสองค์นี้ก็เป็นหนึ่งที่ควรจะรู้จักท่านเอาไว้.....

ตำนาน กวนเกษียรสมุทร

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยโบราณกาล นานมาแล้ว พวกเทพกับยักษ์หรืออสูรต่างเป็นศัตรูกัน ประมาณเด็กอาชีวะรุ่นโบ(ราณ)ที่เห็นกันไม่ได้ ต้องตีรันฟันแทงให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่นัยว่าสมัยใหม่นี้ เขาเป็นคนพันธุ์อา(ชีวะ) ไม่ตีกันแล้ว ส่วนสาเหตุที่ทั้งคู่เป็นอริกัน ว่ากันว่ามาจากการแย่งที่ดินทำกิน เอ้ย! ไม่ใช่ เทวดาใช้เล่ห์เพทุบาย ยึดพื้นที่บนสวรรค์อันเป็นที่อยู่เดิมของพวกอสูร ทำให้เหล่าอสูรโกรธแค้นยิ่งนัก เห็นเทวดาที่ไหนเป็นต้องซัดให้หมอบ และก็อย่างว่าเทวดาแต่ละองค์ ท่านก็เอวบางร่างน้อย หุ่นอ้อนแอ้น ไหนจะสู้อสูรที่หล่อล่ำบึกได้ สู้ทีไรก็แพ้ทุกที อีกอย่างพระอินทร์ที่เป็นหัวหน้าเทวดา ท่านก็ถูกฤษีตนหนึ่งสาปไว้ด้วย โทษฐานดูหมิ่นเอาพวงมาลัยดอกไม้ ที่ฤษีถวายไปให้ช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นช้างทรงของท่านกระทืบเสียแบนแต๊ดแต๋ จึงเลยถูกสาปให้เสื่อมฤทธิ์อำนาจ แถมท้ายให้รบแพ้ยักษ์อีกต่างหาก แม้จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซึ่งที่จริงพระอินทร์ก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพอได้รับมาลัยก็เอาไว้บนเศียรช้างเอราวัณ แต่ช้างทรงท่านคงเป็นโรคภูมิแพ้ ได้กลิ่นดอกไม้ ก็เลยคลุ้มคลั่ง เอางวงจับพวงมาลัยมากระทืบเสียกระจุย ฤษีเห็นเข้าก็เลยยัวะ สาปแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้ เทวดารบกับยักษ์ทีไร ก็แพ้เสียทุกครั้ง ทำให้เดือดร้อนกันมาก ในที่สุดเหล่าเทวดา นำโดยพระอินทร์ก็ไปขอให้พระนารายณ์ ซึ่งมีอีกชื่อว่า พระวิษณุให้ช่วยหน่อยเถอะ พระนารายณ์ท่านฟังแล้ว คงนึกสงสาร และเห็นว่าขืนปล่อยให้รบแพ้เรื่อยๆ แบบนี้ เสียชื่อเทวดาด้วยกันโหม้ด ท่านก็เลยสงเคราะห์ แนะให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายกวนเกษียรสมุทร หรือทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤต เอามาดื่ม จะได้เป็นอมตะไม่ตาย อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเทวดาทำไมตายได้ ก็ต้องบอกว่าตำนานก็เหมือนนิทาน เทวดาหรือยักษ์ก็ตายได้ทั้งนั้น และจริงๆ แล้วคติทางศาสนา เทวดาก็อยู่ได้ด้วยบุญ หากบุญหมด ก็ต้องจุติมาเกิดใหม่เหมือนกัน

พิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ นอกจากจะต้องไปถอนเอาภูเขามันทรคีรี อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์ทั้งหลาย มาปักเป็นหลักอยู่กลางทะเลน้ำนม ที่ตั้งอยู่ที่ไวกูณฑ์สวรรค์ทำเป็นเหมือนไม้กวนแล้ว ยังต้องช่วยกันเก็บสมุนไพรนานาชนิด มาผสมลงในเกษียรสมุทร ด้วย (อ้อ ! คำว่าเกษียร ในที่นี้ต้องใช้ตัว ร.เรือสะกดนะจ้ะ ถ้าเป็นเกษียณ จะหมายถึง สิ้นไป อย่างเกษียณอายุราชการ) จากนั้นยังต้องขอให้พญานาควาสุกรี มาขดพันรอบภูเขามันทรคีรีต่างสายชักโยง เพื่อให้ดึงไปดึงมาแบบปั่นไอศกรีม จนกว่าน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤตจะผุดขึ้นมานั่นแหละจึงจะสำเร็จ เทวดาทั้งหลายพอได้ฟังกรรมวิธีจากพระนารายณ์ ก็เห็นว่าเป็นงานใหญ่มิใช่เล่น ลำพังแค่กำลังเทวดาทั้งหมดคงจะปั่นไอติม เอ้ย! กวนทะเลน้ำนมไม่ไหวเป็นแน่ ก็เลยออกอุบาย ขอพักรบกับเหล่าอสูร และทำตีซี้ให้มาช่วยลงแขกกวนเกษียรสมุทรด้วยกัน โดยทำทีสัญญาว่าหากสำเร็จ ก็จะแบ่งให้พวกอสูรได้กินด้วย พวกอสูรก็ดันเชื่อ ไม่รู้ว่าเพราะความซื่อ โง่ หรืออัตตาสูงที่คิดว่าตนไม่แพ้กระมัง ก็เลยยอมมาร่วมสังฆกรรมกวนทะเลน้ำนม ให้เป็นน้ำทิพย์กับพวกเทวดาด้วย แถมบ้ายออีกต่างหาก พอเทวดาแกล้งบอกว่าใครเข้มแข็งมีพลังที่สุดในสามโลก ให้ไปชักทางด้านเศียรพญานาค เหล่าอสูรก็หลงกลแจ้นไปชักทางด้านเศียรพญานาควาสุกรีทันที ฝ่ายเทวดาก็รีบไปยกข้างหาง ครั้นแล้วทั้งสองฝ่าย ต่างก็ช่วยกันชักดึงพญานาควาสุกรีไปมาอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภูเขามันทรคีรี หมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับทะเลน้ำนม (แหม! นี่ถ้ากวนออกมาเป็นไอติม ก็เป็นไอติมสุขภาพเข้าสมัยเปี๊ยบเลยนะเนี่ย เพราะมีส่วนผสมเป็นสมุนไพรสวรรค์ล้วนๆ) เมื่อเทวดาชักไปยักษ์ดึงมา พญานาควาสุกรีท่านคงมึนก็เลยอ้วก เอ้ย! ทั้งเจ็บทั้งเพลียเพราะร่างกายถูกเสียดสีจากที่ต้องพันรอบภูเขาด้วย ท่านก็เลยคายพิษเป็นไฟกรดออกมาทีละเล็กละน้อย พวกอสูรที่ชักอยู่ทางด้านเศียร ไหนจะต้องออกแรงชักเย่อกับเทวดา ไหนจะถูกพิษพญานาคที่พ่นรดหัวอยู่ตลอดเวลา ก็เลยอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆ กัน

ส่วนเทวดาชักข้างหางแม้จะเหนื่อย แต่ก็ไม่ถูกพิษและไอร้อนเลยสบายหน่อย และเนื่องจากการกวนเกษียรสมุทรที่ว่านี้ มิใช่จะทำกันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องใช้เวลานับพันปี ดังนั้น พญานาคท่านก็คงปั่นป่วนมวนท้องเต็มที เลยสำรอกพิษออกมาเต็มที่ ซึ่งพิษร้ายนี้หากตกสู่โลก (อย่าลืมว่าท่านไปกวนกันบนสวรรค์ชั้นไวกูณฑ์โน่น) ก็จะทำให้โลกมนุษย์เกิดอันตรายได้ ด้วยพระเมตตาอันสูงสุดต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ พระอิศวรหรือที่เรารู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าพระศิวะ(สามีพระแม่อุมาเทวี) ก็เลยมาปรากฎกาย และดูดเอาพิษร้ายทั้งหมดไปไว้ในตัว พิษร้ายดังกล่าวก็เลยเผาผลาญพระศอ(คอ) ของพระองค์จนกลายเป็นสีดำสนิท (ก็เลยมีคนเปรียบเทียบสีดำว่า เป็นสีแห่งความรัก ที่เสียสละเหมือนพระศิวะที่ช่วยเหลือมนุษย์โลก ในเรื่องกามนิต-วาสิฏฐีไง เคยเรียนไหม?-เอ! หรือจะคนละรุ่นกันแฮะ) แค่นี้ยังไม่พอ พอกวนๆไป ก็เกิดความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสามโลก ภูเขามันทรคีรีก็เริ่มเอียงคลอน (สงสัยน่าจะเอียงๆ มาทางด้านยักษ์ เพราะแรงดีกว่า) อีกทั้งปั่นๆ ไปกวนไป ภูเขาที่ว่าก็อาจจะเจาะทะลุโลกให้พังทลายได้ พระนารายณ์ในฐานะต้นคิด ก็เลยต้องแบ่งภาคอวตาร(แปลงกาย) มาเป็นเต่าใหญ่ เอากระดองมารองรับ มิให้ยอดเขามันทรคีรีเจาะลึกลงมาเป็นอันตรายต่อโลกได้ และตอนที่ท่านแปลงกายเป็นเต่ายักษ์นั้น ปรากฏว่ามีอสูรมัจฉาตนหนึ่ง กำลังกัดแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤต(ที่กะว่าพอกวนได้) จะได้ไหลทะลักมาสู่โลก เพื่อมันจะได้ดื่มและเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว พระนารายณ์แปลงก็เลยปราบเสียอยู่หมัด และเขาก็เรียกภาคที่ท่านอวตารเป็นเต่าใหญ่ มาหนุนแผ่นดินหรือภูเขานี้ว่าปางกูรมาวตารกูรมะแปลว่าเต่า (พระนารายณ์ท่านมีหน้าที่ปราบทุกข์เข็ญต่างๆ ดังนั้น เดี๋ยวท่านก็แปลงกายหรืออวตารเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ตลอด แต่ที่เขานับกันจริงๆ มีอยู่ 10 ปางด้วยกัน ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องพระนารายณ์สิบปางมาบ้างแล้ว)

มาว่าเรื่องกวนเกษียรสมุทรต่อดีกว่า อ้อ ! มีบางตำราเขาก็ว่าเดิมมหาสมุทรที่ถูกกวนนี้มีชื่อว่า กลศะตอนแรกยังไม่เป็นทะเลน้ำนม แต่พอกวนไปกวนมาก็เลยมีสีข้นขาวเหมือนน้ำนมขึ้นมา ก็เลยเรียกว่า เกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนมอย่างที่เล่ามาแต่ต้น ซึ่งนอกจากจะมีเหตุการณ์เรื่องพญานาคคายพิษ และเรื่องพระนารายณ์อวตารเป็นเต่าแล้ว ระหว่างที่กวนๆกันไปนี้ ก็ยังเกิดของวิเศษ 14 อย่างทยอยผุดขึ้นมาด้วย ของวิเศษที่ว่านี้ก็มี

1. ดวงจันทร์ ซึ่งพระศิวะหยิบไปปักไว้บนเกศา ที่เราเห็นมวยผมของท่าน มีพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่แบบปิ่นไง
2. เพชรเกาสตุภะ ที่พระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ(อก)
3. ดอกบัวลอยขึ้นมาพร้อมพระลักษมี ซึ่งต่อมาก็คือพระชายาของพระนารายณ์
4.วารุณี เทวีแห่งสุรา
5. ช้างเผือกเอราวัณ ซึ่งพระอินทร์ได้นำไปเป็นช้างทรง อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านหลายคนอาจสงสัยว่า ตอนพระอินทร์โดนฤษีสาปตอนต้น อันเกี่ยวเนื่องกับช้างเอราวัณ เหตุการณ์มันเกิดก่อนหรือหลังการกวนเกษียรสมุทรกันแน่ ก็ต้องบอกไว้ว่าตำนานเกี่ยวกับเทวดานั้น มันสลับซับซ้อนและมีหลายตำนานด้วยกัน บางเรื่องก็เล่าขัดๆ กันเองก็มี เอาเป็นว่าอ่านสนุกๆ อย่าไปซีเรียสมาก
6. ม้าอุจฉัยศรพ ซึ่งพระอาทิตย์นำไปเทียมรถทรง
7. ต้นปาริชาติ เป็นต้นไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม ที่ว่าใครได้กลิ่นก็จะระลึกชาติได้
8. โคสุรภี หรือ กามะเธนู ที่แปลว่า ผู้ให้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา เป็นวัวตัวเมีย เหล่าเทวดาได้ยกให้พระวิสิษฐ์มุนี9. หริธนู
10. สังข์
11. เทพีอัปสรสวรรค์ ที่เห็นว่ามีเป็นแสนๆ องค์เลยทีเดียว
12. พิษร้าย ที่กล่าวกันว่าฝูงนาคและงูได้มาดูดพิษกันไป จึงทำให้งูกลายเป็นสัตว์มีพิษจนทุกวันนี้
13. ธันวันตริ หรือ แพทย์สวรรค์นั่นเอง ซึ่งเทวแพทย์ที่ผุดขึ้นมานี้ ท่านก็ได้ทูนหม้อน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต อันเป็นของวิเศษชิ้นสุดท้าย (ชิ้นที่14) ที่ทุกคนรอคอยขึ้นมาด้วย แต่ก่อนที่เทวแพทย์องค์นี้จะลอยขึ้นมา ทั้งเทวดาและยักษ์ ต่างก็แย่งของวิเศษที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้กันจ้าละหวั่นแล้ว คงประเภทใครถึงก่อนได้ก่อน อย่างอื่นก็คงไม่เท่าไร อย่างเทพีสุรา พวกอสูร คงไม่สนเพราะเคยมีบทเรียนจากการเมา แล้วโดนทุ่มตกจากสวรรค์มาแล้ว ก็เลยสาบานว่าจะไม่แตะต้องสุราอีก ถึงเรียกพวกยักษ์อีกอย่างว่า อสูรหรือ อสุระ ที่แปลว่า ไม่ดื่มสุราไง แม้จะไม่ดื่มสุรา แต่เหล่าอสูรก็เป็นประเภทเจ้าชู้ยักษ์ ดังนั้น พอเห็นนางอัปสรลอยขึ้นมา หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักทั้งน้าน พี่ยักษ์ทั้งหลายก็ลืมตัว ไล่จับนางฟ้ากันอุตลุด ยกเว้นอสุรินทร์ราหูตนเดียวที่ไม่สน รอคอยหม้อน้ำอมฤตอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นแล้วเมื่อน้ำอมฤตลอยขึ้นมาพร้อมเทวแพทย์ พระนารายณ์ท่านก็เล่นพวกทันที เพื่อช่วยเทวดา ท่านก็แปลงร่าง(อีกแล้ว) เป็นนางฟ้านาม โมหิณีที่ว่ากันว่า งามมาก ตรงเข้ามายั่วยวนพวกอสูร ที่บ้าผู้หญิงอยู่แล้ว พวกนี้ก็เลยไม่ได้ทันสนใจอะไรว่ามีอะไรโผล่มาอีก มัวแต่จับจ้อง เตรียมแย่งสาวงามกัน พวกเทวดาได้โอกาสก็รีบมาเข้าคิวดื่มน้ำอมฤตทันที

อสุรินทร์ราหูจ้องอยู่แล้ว ก็แอบแปลงร่างเป็นเทพปลอมๆ มาต่อแถวด้วย ก็บังเอิญพระจันทร์กับพระอาทิตย์ดันมาเห็นเข้า ก็เลยวิ่งโร่ไปฟ้องพระนารายณ์ทันที ท่านก็เลยปล่อยจักรที่มีชื่อว่า สุทรรศนะตัดกายราหูขาดเป็นสองท่อน แต่เนื่องจากราหูไวกว่า ดื่มน้ำอมฤตไปแล้ว ก็เลยไม่ตาย ท่อนที่ถูกตัดขาดไป ก็เล่ากันว่าได้กลายไปเป็นอสุรกายชื่อเกตุ (หรือดาวเกตุอันเป็นต้นกำเนิดดาวหาง และอุกาบาตต่อมา) และนี่เอง ก็เป็นที่มาว่าเหตุใดราหูถึงอมจันทร์ หรืออมพระอาทิตย์ ที่เราเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า จันทรคราสหรือสุริยคราส ก็เพราะพระราหูเจ็บใจเทวดาทั้งสองมาก เจอที่ไหนก็ตรงเข้าจับมากลืนกินทันที แต่เนื่องจากว่ามีเพียงครึ่งตัว พอกินทางปาก พระจันทร์หรือพระอาทิตย์ ก็ลอยหลุดออกมาทางท้องได้ หลังจากราหูหนีไปแล้ว พระนารายณ์ก็นำหม้อน้ำอมฤตที่เหลือ ไปมอบให้พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ และห้ามผู้ใดแตะต้องอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตแต่ฝ่ายเดียว ส่วนพวกยักษ์หรืออสูรก็ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ไป แหม ! จะว่าไปแล้ว ก็น่าสงสารพวกอสูรที่ถูกโกงแรงงาน อุตส่าห์ช่วยปั่นแทบตาย ท้ายสุดไม่ได้แอ้มน้ำทิพย์สักหยด เรียกว่าเปลืองแรงฟรี แม้บางตนอาจจะได้นางอัปสรที่ไล่จับมาได้บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยเล้ย หลายคนอ่านแล้วก็คงรู้สึกว่าเทวดานี่ช่างขี้โกง เจ้าเล่ห์ ไม่น่าเป็นเทวดาเลย ก็ต้องบอกว่าพวกเทพนั้น ก็คือคนที่ทำความดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ตามผลบุญที่ทำมา แต่มิใช่พระอรหันต์ ดังนั้น ท่านจึงยังมีกิเลสอยู่ มนุษย์เราถึงยังได้ติดสินบนเทวดาด้วยการถวายหัวเห็ดเป็ดไก่ เพื่อให้ท่านพอใจใบ้หวย หรือให้สิ่งที่ปรารถนาได้ไง

ที่เล่ามาทั้งหมดก็คือ ตำนานหรือที่มาของรูปประติมากรรม กวนเกษียรสมุทรที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ และเป็นที่มาว่าทำไมผู้ออกแบบถึงมีแนวคิดเรื่องอมตะ ก็เพราะเชื่อมโยงมาจากเรื่องน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต ที่กวนได้จากเกษียรสมุทรนี่เองแหละ ก็หวังว่าอ่านแล้วคงจำไปโม้ต่อให้เพื่อนๆ ฟังได้ หากต้องผ่านไปเจอประติมากรรมชิ้นดังกล่าว ณ สนามบินแห่งนี้ มาคิดๆดู ที่สนามบินสุวรรณภูมิมีสารพัดปัญหามาตลอด คงเป็นเพราะมีเจ้า อสูรมัจฉา หลายตัวผลัดกันมาคอยแคะแกะกิน แผ่นดินทองอยู่ไม่ขาด พระนารายณ์กำจัดเท่าไรก็ไม่หมด ล่าสุดข่าวว่าท่านต้องอวตารมาเป็น คตส.” (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) แต่จะปราบได้หรือไม่ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปนะครับท่านผู้ชม

 

 

ชมพูทวีป
สมัยโบราณรวมทั้งสมัยพุทธกาลเรียก ประเทศอินเดีย อันมีความหมายถึงทวีปต้นหว้า หรือทวีปที่มีสัณฐานดั่งต้น หว้า ในปัจจุบันได้แก่ประเทศทั้ง 4 คือ ประเทศอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังคลาเทศ บางช่วงที่กษัตริย์อินเดียเรืองอำนาจ อัฟกานิสถานก็ถูกผนวกเข้ามาด้วย ดังเช่นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชหรือพระเจ้ากนิษกะ พระเจ้าหรรษวรรธนะ เป็นต้น
ชมพูทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของไทย แต่คำว่าชมพูทวีป กลับไม่เป็นที่รู้จักในอินเดียมากนัก ยกเว้นนักการศึกษาเท่านั้น พวกเขาจะรู้จัก คำว่า ภารตะมากกว่าเพราะเป็นชื่อที่มาจากท้าวภารตะ ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์ปาณฑปจากเรื่องมหาภารตะ ความจริงคำที่เรียกชื่ออินเดีย มีหลายชื่อ เช่น ภารตะ ฮินดูสถานสินธุสถาน อินเดีย คำว่า "อินเดีย" เพี้ยนมาจากคำว่า สินธุ (Sindhu) อันเป็นชื่อแม่น้ำสำคัญทางภาคเหนือของอินเดีย ชาวเปอร์เซียพูดเพี้ยนเป็น อินดู ชาวฮอลันดา เรียก อินดัส และอังกฤษเรียกอินเดียตามลำดับ อากาศของชมพูทวีปมีตั้งแต่หนาวที่สุดในเขตเหนือ โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัย จนถึงแห้งแล้งที่สุด ในเขตทะเลทราย รัฐราชสถาน ดังนั้นแต่ละภาคจึงมีอากาศไม่เท่ากัน ด้วยความที่ใหญ่โต จนกล่าวได้ว่าเป็นทวีปเล็ก ๆ (Subcontinent) ทวีปหนึ่ง อินเดียเป็นประเทศที่เคยเจริญรุ่งเรืองมายาวนาน เทียบเคียงได้กับอียิปต์และจีน หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบมีหลายแห่งเช่น ซากโบราณสถานเมืองโมเหนโจ ตาโร ที่แคว้นสินธุ และมหัปปะที่แคว้นปัญจาปในปากีสถาน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ราว 3,500 ปีก่อนพุทธกาล

ชมพูทวีป ยุคก่อนและยุคพุทธกาลแบ่งแคว้นออกเป็น 16 แคว้นใหญ่ ๆ ตามที่ปรากฏในอุบาลีอุโบสถสูตร ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย คือ

อังคะ
มคธะ
กาสี
โกศละ
วัชชี
มัลละ
เจตี
วังสะ
กุรุ
ปัญจาละ
มัจฉะ
สุรเสนะ
อัสสกะ
อวันตี
คันธาระ
กัมโพชะ


และมีแคว้นเล็กๆ อีก 5 แคว้นคือ สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และอังคุตตราปะ

แคว้นพระบิดาของพระพุทธองค์ก็อยู่ในแคว้นเล็ก ๆ นี่อาณาจักรเหล่านี้ปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือพระราชามีอำนาจเด็ดขาดบ้าง ระบบสามัคคีธรรม คือมีสภาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ระบบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาถือกำเนิดในแผ่นดินอินเดีย จึงควรจะได้ศึกษาภูมิหลังของอินเดียในยุคก่อนการกำเนิดของพุทธศาสนาพอสังเขป ดังนี้

ชนชาติที่เชื่อกันว่า เป็นชนชาติดั่งเดิมของอินเดียคือ เผ่าซานโตล (Santole) มุนดา (Mundas) โกลาเรีย (Kolaria) ตูเรเนียน (Turanians) ดราวิเดียน (Dravidians) คนพวกนี้เป็นพวกผิวดำจำพวกหนึ่ง ปัจจุบันยังพอมีหลงเหลืออยู่ที่รัฐพิหาร และเบงกอล ของอินเดีย

 

 

ทำไมจึงเรียกหนังสือแผนที่ว่า Atlas

ชื่อ Atlas มาจากตำนานเก่าแก่ของชาวกรีกโบราณตามตำนาน แอตลาสเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์พวกหนึ่งที่เรียกว่า ไทเทิน(Titans) ซึ่งเคยมีอำนาจสูงสุดปกครองโลกมาก่อน ต่อมาพวกไทเทินพ่ายแพ้ต่อ ซูส(Zeus) และเทพเจ้าองค์อื่นๆ แอตลาสถูกลงทัณฑ์ให้ไปยืนอยู่สุดขอบฟ้าด้านตะวันตกและต้องแบกสวรรค์ไว้บนบ่าทั้งสอง

หนังสือแผนที่ถูกเรียกขานว่า Atlas ในปลายศตวรรษที่ 16 เนื่องจากหนังสือแผนที่ส่วนใหญ่มักมีภาพของยักษ์แอตลาสอยู่ที่หน้าต้นๆ หนังสือแผนที่ชั้นดีของอิตาลีซึ่งรู้จักกันในชื่อ ลาแฟรรี แอตลาส(Lafreri Atlas) จัดพิมพ์ขึ้นในระหว่าง ค.ศ.1556-1575 ส่วนนักทำแผนที่ผู้ยิ่งใหญ่ชาวเฟรมมิชชื่อ เมอร์เคเตอร์(Mercator) พิมพ์หนังสือที่รวบรวมแผนที่ไว้อย่างครบถ้วนใน ค.ศ.1585 และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวดัตช์ซึ่งเป็นทั้งนักเดินเรือผู้สามารถและพ่อค้าตัวฉกาจ ได้ผลิตหนังสือแผนที่คุณภาพดีออกมาจำนวนมาก

 

 

 

คำว่า " สุ่มสี่ สุ่มห้า "
มีที่มาจาก การสุ่มจับปลาของคนโบราณ
เด็กสมัยนี้ไม่รู้จัก " สุ่ม " ที่เอาไว้ใช้สุ่มจับปลากันแล้ว ถึงรู้ก็ไม่รู้จักวิธีใช้

ปกติเวลาเราใช้สุ่ม ครอบลงในน้ำตื้นๆเพื่อจับปลา
สุ่มครั้งแรก เขาว่า เป็นการสุ่มด้วยความมั่นใจ
ล้วงลงไปในสุ่มมักจะได้ปลาติดมือ

สุ่มสอง สาม นี่ บางที่ปลามันดิ้นหลุดมือ ยังพอมีโอกาส

แต่สุ่มสี่ สุ่มห้านี่สิ...โอกาส " รับประทานแห้ว"...มีสูง
อย่างนี้เป็นต้น..

 

" เถียง คำไม่ตกฟาก"

คำ คำนี้ อย่างเก่งเด็กรุ่นนี้ได้ยินก็อีตอน ปู่ย่าตายยาย ลุงป้า พ่อแม่ น้าอา หรือญาติฯ บ่นเอา เวลา " เถียง" ฉอดๆใส่ญาติผู้ใหญ่ หรือพ่อแม่ตนเองเหล่านั้น

ที่มาก็คือ... สมัยก่อน ตามบ้านเรือนชาวนา ตามบ้านนอก เขาใช้ไม้ไผ่สับแหลกๆ มาปูพื้นหรือทำฝา เรียกว่า " ฟาก "

เวลาคนท้องแก่กำลังจะคลอด เขาจะให้นอนแคร่ไม้ไผ่ และอยู่ในท่าเตรียมคลอด โดยมีหมอตำแยคอยประกบ ข้างๆจะมีหม้อต้มยาตั้งบนเตาไฟกรุ่นๆ ให้ความอบอุ่น

คนท้องแก่นอนรอเวลาจนถึงกำหนดคลอด พอเด็กคลอด ก็จะรับเด็กมาวางบนพื้น"ฟาก"

แต่เด็กบางคน คลอดยาก นั่งก็แล้วนอนก็แล้ว ร้องก็แล้ว ข้ามคืนข้ามวันไม่ยอมคลอดซักที โบราณเขาบอกเด็กมันดื้อ " ไม่ยอมตกฟาก "

เด็กคลอดยากจึงถูกนำมาเปรียบกับเด็กดื้อ ที่ชอบ " เถียงคำไม่ตกฟาก " ไงล่ะครับ

 

ที่มา ใจทมิฬ
ชาวสิงหลในเกาะลังกา นับถือพุทธศาสนา และมีสัมพันธ์กับสยามประเทศมาช้านาน...เป็นต้นกำเนิดสำนวน "พวกทมิฬหินชาติ" ที่หมายถึงพวกโหดร้ายป่าเถื่อนครับ

เพราะในอดีต อาณาจักรต่างๆของชาวทมิฬในอินเดียใต้ อย่างเช่นปาณฑยะ และโจฬะ มักจะใช้กำลังทหารรุกรานอาณาจักรชาวสิงหลในลังกาบ่อยๆ บางครั้งก็ตีบ้านตีเมืองยึดครองไปแทบทั้งเกาะ ทำลายวัดวาอารามพุทธศาสนามากมาย เพราะชาวทมิฬเป็นฮินดู...ชาวสิงหลทั้งหลายเจ็บแค้น จึงเรียกพวกทมิฬในความหมายของ "ผู้ร้าย" ใจอำมหิตครับ...ในพงศาวดาร "มหาวงศ์" ของลังกา สถานะของพวกทมิฬก็ไม่ต่างจากพม่าในพงศาวดารไทยหรอกครับ...

สิงหลลังกามาความสัมพันธ์กับสยามประเทศ ก็พลอยถ่ายทอดความรู้สึกไม่ดีต่อพวกทมิฬมายังสยามด้วย ชาวสยามรู้จักเรื่องราวพงศาวดารมหาวงศ์ของลังกามาแต่โบราณ จึงมีความคิดว่าพวกทมิฬเป็นผู้ร้ายเหมือนกัน จนเอามาใช้เป็นสำนวนภาษาไทยนี่ล่ะครับ...

เคยเรียนถาม อ.ผาสุข (ศ.ดร.ผาสุข อินทราวุธ) ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเดียศึกษาที่คณะโบราณคดี ท่านบอกว่าความจริงแล้ว คำว่า "Tamil" แปลว่า "น่ารัก"...แต่คนไทยเราใกล้ชิดอยู่ฝ่ายเดียวกับลังกาทวีปมาช้านาน จึงมองพวกทมิฬเป็นผู้ร้ายใจยักษ์มารอย่างที่ชาวสิงหลลังกาเชื่อถือครับ


อ่าน หน้าที่แล้ว http://gotoknow.org/blog/meraisanjaron/218891

คำสำคัญ (Tags): #ความหมาย#ที่มา
หมายเลขบันทึก: 218893เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 10:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท