เพราะรัก จึง"ให้"
และเราทุกคนต่างซาบซึ้งกับการ "ให้" นี้เป็นอย่างดี
จากพ่อ แม่ และจากคนที่รักเรา
หรือแม้แต่เราเองที่พร้อมจะ "ให้" แก่คนที่เรารัก มิใช่หรือ
มีนวนิยายมากมาย และบทกวีนับพันที่เขียนถึงการ "ให้"นี้
แม้ว่า การให้นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด และน่าซาบซึ้งใจเพียงใหน แต่ เป็นการ "ให้" ที่สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา เป็นความรู้สึกที่ดี มีความสุข ซึ่งเรายินดีและเต็มใจ "ให้" เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรัก ให้สิ่งของ ให้เงินทอง ให้ความเป็นมิตร ให้ความนับถือ และสารพัดการให้ที่ดีๆ
เป็นการให้ที่สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึก
แต่ มีอีกการให้หนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
เป็นการให้ที่ตรงข้ามจากที่กล่าวมาแล้ว
ที่ผมกล่าวว่า "ยิ่งใหญ่" กว่าก็เพราะการให้นี้ น้อยคนที่จะให้ได้
เพราะมันขัดแย้งกับอารมณ์ความรู้สึกที่เราเผชิญ
เป็นการให้ที่เป็นเช่นการทวนกระแส
เป็นการให้ที่แสดงถึงผู้ให้ "เป็นไทหรือเป็นอิสระ" อย่างแท้จริงจากภาวะแห่งอารมณ์ตน
ครับใช่แล้ว มันคือการ "ให้อภัย"
การให้เพราะความรัก ชอบ พอใจ หรือเสน่หา ไม่ยากเลย และเรายินดีกับการให้นี้
แต่การ "ให้อภัย" แก่คนที่ทำให้เราไม่พอใจ ไม่สบายใจ นี่ซิยากกว่า
เราจึงพบว่า ผู้ที่จะ "ให้อภัย" ได้นั้นเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษ
ในอิสลามอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นเจ้าทรงกล่าวถึงคุณลักษณะของพระองค์เองว่า "...แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ" ซูเราะฮฺ อันนัศรฺ (110 : 3)
และในท้ายซูเราะฮฺ อัลมุซัมมิล อัลลอฮฺทรงตรัสความว่า " และอัลลอฮ์ทรงกำหนดเวลากลางคืนและกลางวัน พระองค์ทรงรู้ดีว่าพวกเจ้าไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงผ่อนผันให้แก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านอัลกุรอานตามแต่สะดวกเถิด พระองค์ทรงรู้ดีว่า อาจมีบางคนในหมู่พวกเจ้าเป็นคนป่วย และบางคนอื่น ๆ ต้องเดินทางไปดินแดนอื่น เพื่อแสวงหาจากความโปรดปรานของอัลลอฮ์ และบางคนอื่นต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านตามสะดวกจากอัลกุรอานเถิด และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจงบริจาคซะกาต และจงให้อัลลอฮ์ยืมอย่างดีเยี่ยมเถิด และความดีอันใดที่พวกเจ้าได้กระทำไว้เพื่อตัวของพวกเจ้าเองพวกเจ้าก็จะพบมัน ณ ที่อัลลอฮ์ ซึ่งเป็นความดีและผลตอบแทนก็ยิ่งใหญ่กว่า ดังนั้นพวกเจ้าจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ" [73.20]
หากว่าผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ทรงอำนาจที่สุดในจักรวาลนี้
ยังทรงเป็น "ผู้ทรงอภัยโทษเสมอ"
คงไม่ยากสำหรับเราในฐานะบ่าวที่ศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริงจะดำเนินตามบุคลิกภาพนี้ของพระองค์
"โอ้ พระผู้ทรงกรุณาปรานี ได้ทรงโปรดให้ง่ายแก่ข้าพระองค์ซึ่งการให้อภัยแก่ผู้อื่น ดังที่พระองค์ได้ทรงให้โอกาสและให้อภัยแก่ข้าพระองค์เสมอมา อามีน"
หากการให้นั้น ไม่ทำให้คนๆนึงเค้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ยังคงพฤติกรรมเดิมๆ บางครั้ง เราอาจจะเปลี่ยนจาก "การให้อภัย" เป็น "การให้บทเรียน" บ้าง!
ไม่อย่างนั้น บทลงโทษ กฏเกณฑ์ทางสังคม จะมีไว้ทำไม?
มีคนขับรถ ชนคนตาย เพราะฝ่าไฟแดง เราควรให้อภัย
มีคนทิ้งขยะ สร้างความรำคาญให้คนอื่น เราควรให้อภัย
...บางครั้ง เราอาจจะต้องเลือก ระหว่าง ให้อภัย กับ ให้บทเรียน เพราะไม่ใช่ทุกคน ที่รู้จักสำนึกผิดด้วยตัวเอง ในทุกๆปัญหาที่ตนเองสร้างขึ้นมา
หวังว่าคงเข้าใจตามนี้นะคะ
คำสองคำ ที่คล้ายกัน แต่ความหมายต่างกัน นั่นก็คือ
Tolerance and Ignorance!!
ขอร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ
ขอบคุณมากครับ อ.จารุวัจน์
การให้ ไม่ว่าให้อภัยหรือให้บทเรียนถือว่าเป็นที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ปัคเจคบุคลและสังคมส่วนรวม แต่การที่จะให้อภัยหรือให้บทเรียนจะต้องให้คำตักเตือนเสียก่อน ซึ่งบทเรียนเหล่านี้เราจะพบได้จากหลายๆซูเราะฮฺในอัลกุรอานที่ได้บันทึกว่าก่อนที่อัลลอฮฺจะทรงลงโทษหรือทำลายชนกลุ่มใดพระองค์จะส่งเราะซูลมาตักเตือนหากเขากลับตัวกลับใจก็ให้อภัย แต่หากเขาดื้อดึงก็ควรให้บทเรียน
วัลลอฮุอะลัม
การ "ให้อภัย" นี่เป็นเรื่องยากจริงๆนะครับ
สำหรับผมเองบางครั้งก็ต้องการที่จะให้อภัย แต่ใจมันไม่ไปด้วยครับ
แต่อย่างน้อย ถึงแม้ผมจะไม่ให้อภัย แต่ผมก็จะไม่ไปทำลายเขาครับ
ขอบคุณครับ
สลามค่ะ
การให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คือ การให้อภัย