๒๖. ขอรำลึกถึงเพื่อนนิรนาม


ผมมักได้เพื่อนแบบแปลกๆ ที่ทำให้ต้องหาโอกาสรำลึกถึงอยู่เรื่อย 

ครั้งหนึ่งที่อยากนำมาเล่านี้ก็เช่นกัน  "เพื่อนนิรนาม" หรือ "มิตรภาพแบบประหลาด" ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่นานมากกว่าสิบปีแล้ว  ทว่า เวลาผมเห็นมอเตอร์ไซคล์หรือรถช็อปเปอร์  คนเล่นกีตาร์ คนขับรถบรรทุกและนักเดินทางทีไร ก็มักจะรำลึกถึงเพื่อนประหลาดกลุ่มนี้

เมื่อกว่าสิบปีก่อน  ผมไปเก็บข้อมูลทำวิจัยแถวภาคเหนือ วันหนึ่งก็ไปที่จังหวัดพะเยาซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้าย  พอบ่ายคล้อย ไม่เพียงเก็บข้อมูลเสร็จ ทว่า ได้ไปเที่ยวรอบๆ เมืองพะเยา  เสร็จแล้วก็ขับรถกลับบ้าน กะว่าให้ถึงเชียงใหม่ก่อนมืดค่ำ 

อารมณ์เมื่อยามแดดร่มลมตก  เสร็จงานเก็บข้อมูล  และขับรถไปตามถนน  แวดล้อมด้วยแมกไม้  ภูเขา  ถิ่นฐานชนบทสองรายทาง  ทำให้มีความสุขและอิ่มใจ  นั่งคุยกับภรรยาที่ไปช่วยกันทำงานและเป็นเพื่อนกัน  แบบเพลิดเพลิน  แวะโน่นแวะนี่ไปเรื่อย 

กระทั่งถึงบ่อน้ำพุร้อนท่ามกลางหุบเขา ดอยสะเก็ด พระอาทิตกำลังจะลับแนวป่าและเหลี่ยมเขา  ผมกับภรรยาเลยตกลงกันที่จะแวะร้านค้าเล็กๆ ที่ข้างทาง  ใกล้กับแหล่งน้ำพุร้อน ทั่วบริเวณ  รวมทั้งในร้าน  แทบจะไม่มีคน เราเดินเล่นกันรอบๆ  เสร็จแล้วก็แวะเข้าไปในร้าน  ดูงานฝีมือบนของที่ระลึก 

เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่ม  บุคลิกเป็นคนชั้นกลางที่มีการศึกษา ดูเป็นคนทำงาน  ทำมาหากิน ทว่า เรียบง่าย  เขารักษาความเป็นส่วนตัวของผมกับภรรยาให้เดินดูของรอบๆ  ด้วยการทักทายด้วยสายตาและโคลงตัวเบาๆ ให้รู้ว่าเขายินดีต้อนรับ เท่านั้น แล้วเดินอ้อมไปนั่งเล่นกีตาร์ ร้องเพลง ซึ่งร้องดีและเล่นดีเสียด้วย  ในบรรยากาศยามนั้น เรียกว่าเพราะและได้อารมณ์ดนตรีเป็นที่สุด  ผมเลยเดินไปยืนฟังใกล้ๆ

ผมกับภรรยานั่งคุยกับเจ้าของร้าน  สักพัก  ตอนเขาเดินออกไปทักทายลูกค้า  ผมก็ลองหยิบกีตาร์เขามาเล่นบ้าง  สักพักเจ้าของร้านก็กลับมานั่ง  คราวนี้เราเลยคุยกันได้อีกมากมายและเริ่มออกรสชาด  สลับกับการเล่นเพลงให้กันฟัง  รู้สึกได้ถึงความเป็นเพื่อนและวางใจสูงต่อกัน  สนิทสนมและคุยกันอย่างครึกครื้นโดยไม่ต้องถามเลยว่าใครชื่ออะไร 

สักพักเพื่อนผม  ที่เป็นเจ้าของร้าน  ก็เดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็น  เหมือนกับจะหยิบมานั่งดื่มเองให้ครึ้มใจ ทว่า ก็เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย  ได้ไง  ผมนับถือน้ำใจและรู้สึกดีในท่าทางที่ดูไม่มีฟอร์มของเขา  ซึ่งได้รับอย่างนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว  เลยบอกเขาว่า  ผมขอเลี้ยงเขาดีกว่า

เรานั่งคุยและผลัดกันเดินไปที่ตู้เย็น  จนแยกไม่ออกว่าไหนเจ้าของร้านไหนผู้มาเยือน  ไปๆมาๆ  คนขับรถผ่านทางและแวะเข้ามา  เขาก็ชวนมานั่งคุย  ผสมโรงกันไปกลายเป็นวงเล่นดนตรีและคุยกันเหมือนกลุ่มเพื่อนสนิท 

เขาบอกว่า  เขามาเช่าที่ทำร้านขายของเพราะชอบบรรยากาศและสภาพแวดล้อมป่าเขา  ทำเพื่ออยู่ในที่ซึ่งตนเองชอบ  เก็บตังค์ได้สักก้อนหนึ่ง  ก็จะหาโอกาสหยุดและขับช๊อปเปอร์เที่ยวเหนือจรดใต้ของประเทศ  มีกลุ่มเพื่อนเที่ยวด้วยกันแนวนี้กลุ่มใหญ่  หลายคนเป็นนักธรุกิจและคนมีชื่อเสียงของประเทศ

สักพัก ก็มีมาเพิ่มอีกคน บ้านเขาอยู่บนดอย  เป็นนักร้องและนักดนตรีโฟล์คซอง เล่นตามร้านอาหารในเชียงใหม่ ตกเย็นก็ขี่มอเตอร์ไซคล์สะพายถุงกีตาร์และเม้าท์ออร์แกนลงมาจากดอยเพื่อขอจอดทิ้งไว้ที่ร้าน แล้วก็จะไปเล่นดนตรีที่เชี่ยงใหม่เหมือนกับทุกวัน  พอเจอเจ้าของร้านและกลุ่มที่นั่งอยู่  ก็เลยถูกขอให้เล่นแจมสักเพลง-สองเพลง ก่อนไป 

เล่นไปเล่นมาก็เข้าทางกันมาก  เขาบอกว่า " วันนี้ไม่ไปเล่นหาเงินดีกว่า เล่นและนั่งคุยกันตรงนี้แหละ "  

ร้านค้านั้นเลยกลายเป็นวงสมาคมไปโดยปริยาย มีกลุ่มคนซึ่งต่างก็จรมาเจอกันแบบคนผ่านทาง นั่งคุย เล่นดนตรีด้วยกีตาร์สองตัว สัก 5-6 คน

ผมเกรงใจเจ้าของร้านเป็นที่สุด  เพราะมันเริ่มต้นมาจากผมกับภรรยาไปนั่งคุยกับเขา  เลยบอกว่า ขอเป็นเจ้าภาพ  เจ้าของร้านดูเออออ  เลยก็เบาใจ  เลยคิดว่า  เต็มที่เลย เสมอหมดเบียร์และเครื่องดื่มในตู้เย็นเลย 

เพื่อซื้อน้ำใจกันแล้ว  เรื่องอย่างนี้เล็กน้อยมาก  ผมกับภรรยารับมุขกัน

ปรากฏว่าหมดเกลี้ยงตู้เย็นจริงๆครับ  แล้วก็ทั้งร้าน  คนพื้นที่ก็มีเพียงเจ้าของร้านกับแฟนเท่านั้น  นอกนั้นล้วนเป็นคนเดินทางผ่าน แล้วก็มาเป็นเพื่อนเสวนาสังสรรค์กัน  ยกเว้นนักดนตรีอีกคนหนึ่ง  ที่รู้จักคุ้นเคยเจ้าของร้าน 

พอเครื่องดื่มหมดทั้งตู้เย็น  อีกทั้งมืดค่ำพอสมควร  ทุกคนก็เห็นจะต้องร่ำลากัน ปรากฏว่า  ทำอย่างไรเจ้าของร้านก็ไม่ยอมคิดเงิน  ผมกับภรรยาลำบากใจเป็นที่สุด  เพราะถ้าหากรู้อย่างนี้  ก็จะไม่นั่งคุยจนกลายเป็นวงพบปะสังสรรค์  เสียการเสียงานในการทำมาหากินของคนค้าคนขาย   ทว่า  เขาก็ไม่ยอม และบอกว่าเขาก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นเหมือนกันว่าจะปิดร้านเลี้ยงทุกคนอย่างเพื่อน

พอทนการขอร้องผมไม่ไหว  เพราะเราไม่สามารถแยกย้ายกันไปไหนได้  เขาก็ทำท่าคิดเงิน  ทั้งหมด  พันสองร้อยบาท  ซึ่งเป็นการคิดแบบส่งเดชให้ขบขันเล่นเสียมากกว่า  เพราะมันควรจะหลายพันบาท  เขาบอกว่ายอมให้ผมจ่ายแค่นี้แหละ

ที่สุดก็ต้องยอม  แล้วเราก็อำลากัน  โดยไม่มีโอกาสพบกันอีก อีกทั้งไม่รู้อีกด้วยว่าแต่ละคนชื่ออะไร  นึกถึงทีไรก็รู้สึกประทับใจในมิตรภาพอันประหลาด และกลุ่มเพื่อนนิรนามครั้งกระโน้น กลุ่มนี้

ความเป็นเพื่อนและความคุ้นเคยดังมิตรสหาย ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร้ความจำเพาะเจาะจงนี้ เป็นจิตใจที่กว้างขวางมาก ผมมักนำมารำลึกถึงด้วยความนับถือในเพื่อนนิรนามและมิตรภาพอันแปลกประหลาดนี้.

หมายเลขบันทึก: 217006เขียนเมื่อ 16 ตุลาคม 2008 18:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะอ.วิรัตน์

ชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษค่ะ อ่านแล้วเหมือนได้ไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย...^_^...

ความจริงแล้ว...มนุษย์ในโลกล้วนเป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นมิตรสหายซึ่งเราได้หลงลืม ห่างหายกันไป...

การมีโอกาสได้มาพบปะ สนทนา ร่วมซึมซับความรู้สึกละเมียดละมัยในบรรยากาศดี ๆ จึงเป็นเหมือน..."การคืนสู่เหย้าทางจิตวิญญาณ" ที่บางครั้งเราหลงลืมและละวางไว้โดยไม่ใยดีเท่าที่ควร

ขออนุญาตบอกว่า คนไม่มีรากก็มีเพื่อนนิรนามมากมายเลยค่ะ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนนิรนาม...เพราะได้เก็บเพื่อนเหล่านี้ไว้ระลึกถึงด้วยความรู้สึกดี ๆ บ่อย ๆ 

แม่ของคนไม่มีรากสนับสนุนให้ลูกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ไม่มีรายได้ด้วยซ้ำ แม่บอก (เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว) ว่า..."การเดินทางเป็นขุมทรัพย์ของมิตรสหายและปัญญา"

ทำให้มีนิสัยชื่นชอบการเดินทางมากและมีโอกาสท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ แบบแบกเป้ Back pack ทั้งในและต่างประเทศทุกปีค่ะ ยกเว้นช่วงนี้ที่มีภาระการเรียน...แต่ก็ตั้งใจค่ะ ต้องเที่ยวในทั่วโลกกลม ๆ ใบนี้ เพื่ออาจจะได้มีโอกาสพบปะกับ "เพื่อนนิรนาม"

ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ เช่นนี้ให้ได้แช่มชื่นใจค่ะ

(^__^)

  • สวัสดีครับคุณวันทนา หลานน่ารักน่าชังนะครับ ชอบดูลูกตาเด็กๆนะครับ บ๊องแบ๊ว ใสสะอาด
  • สวัสดีคุณคนไร้ราก ชอบทั้งแนวคิด "มนุษย์ในโลกล้วนเป็นพี่น้อง  เป็นญาติ  เป็นมิตรสหาย"   "การคืนสู่เหย้าทางจิตวิญญาณ"  แล้วก็  "การเดินทางเป็นขุมทรัพย์ของมิตรสหาย"
  • อยากกลับไปอ่านวรรณกรรมแปล หุบเขาทางจิตวิญญาณ อีกรอบ เลย
  • ขออภัยนักอ่านด้วยครับ  หนังสือแปล หุบเขาทางจิตวิญญาณนั้น  ที่ถูกคือ ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ ครับ
  • การได้ประสบการณ์ดีๆ จากเพื่อนนิรนามกลุ่มนี้ เป็นแรงบันดาลใจต่อผม ภรรยา และเพื่อนกลุ่มเล็กๆอย่างหนึ่งว่า เราอยากแบ่งปันชีวิตและความประทับใจอย่างนี้อยู่เสมอๆในชีวิต กับผู้คน โดยทำ ภัตตาคารรอยตีน คือ นั่งปูเสื่อ คุยกัน ทำสิ่งที่เหมือนเป็นการผ่านทางให้มีความหมาย และทำเรื่องดีๆที่เป็นการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีด้วยกัน แม้ต้องเลิกย้ายกันไป  ก็ยังเหลือความประทับใจ ได้พลังชีวิต และได้ความวางใจต่อการมีชีวิตส่วนรวมกับผู้คน ได้อะไรมากมาย 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท