วิธีทำบุญได้ง่าย ๆ ตอนที่ 1


ชีวิตคนไทย  ไม่เคยขาดเรื่องการทำบุญ   แต่มักเน้นที่การทำบุญด้วยวัตถุทานเป็นหลัก  ทำให้คนมีทรัพย์น้อยเกิดปมด้อยว่า  ฉันไม่มีเงินจึงทำบุญได้น้อย  แท้จริงแล้วไม่มีเงินสักบาทก็ทำบุญได้  ทำได้ง่าย ๆ ทำได้ทุกวันด้วย

             บุญนี้ทำได้มากมายหลายแบบ  ทางธรรมเรียกว่า  บุญกิริยาวัตถุ  แปลว่า  เรื่องของการทำบุญ  มี  10  วิธีใหญ่ ๆ   อาตมาจะแสดงไปโดยลำดับ  ดังนี้

          1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน   บุญข้อแรกเริ่มด้วยทาน เรารู้จักกันดี คือการให้ การแบ่งปัน การเสียสละ ฆราวาสเป็นผู้ต้องทำมาหากินแสวงหาปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นนิจ  ถ้าไม่ระมัดระวัง จะทำให้อำนาจความโลภในวัตถุสิ่งของ ทรัพย์สมบัติต่างๆ เข้าครอบงำจิตใจได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น เราจะต้องขจัดอำนาจครอบงำของวัตถุเหล่านั้นออกเสียก่อนคือ ขจัดความตระหนี่ออกไปจากใจให้ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ขจัดความตระหนี่ออกไปก่อนในเบื้องต้นนี้แล้ว  คุณธรรมอย่างอื่นจะเจริญขึ้นไม่ได้ เราจึงต้องบำเพ็ญทานเป็นขั้นแรก เหมือนกับการปลูกข้าวเราต้องเตรียมดินเสียก่อน ต้องไถนาต้องย่ำเทือกเพื่อเตรียมผืนนาให้พร้อมก่อนที่จะหว่านเมล็ดข้าวลงไป  ข้าวจึงจะงอกงามดี  คนพาลไม่ให้ทานเพราะกลัวจน แต่บัณฑิตชนเพราะกลัวจนจึงให้ทาน  อยากได้ต้องให้  เพราะยิ่งให้ก็ยิ่งได้  ฉะนั้น จะต้องเริ่มต้นที่การบำเพ็ญทานเสียก่อน  

ด้วยเหตุนี้ คนไทยจึงทำทานกันมาก  ก็ไม่ผิดหรอก  แต่ไม่พอขอบอก !  เพราะมีบุญให้ทำอีกตั้งหลายชนิด  และทานก็ไม่ใช่มีแค่วัตถุทาน  ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ ๆ เป็นประธานทอดกฐินผ้าป่าเท่านั้นจึงจะได้บุญ   แม้ไม่มีเงินเลย  ก็ทำบุญได้  การให้โอกาส  มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   มีความรัก  ความหวังดี   ความมีน้ำใจจริงใจ  ให้แก่กัน  ก็เป็นทาน  เป็นการให้ด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทานที่ยิ่งใหญ่  แต่ไม่ต้องลงทุน 

อีกอย่างหนึ่ง คือ อภัยทาน  ครอบครัวใดบำเพ็ญทานประเภทที่ไม่ต้องใช้เงินให้มากเข้า  ก็มีความสุขได้ยิ่งกว่าครอบครัวเศรษฐีที่ทำบุญชนิดนี้ไม่เป็นเสียอีก  เพราะไม่ว่าเราจะทุกข์ยาก  ร้อนรนมาจากที่ใดก็ตาม  จะมีสถานที่สุดวิเศษแห่งหนึ่งของเรา คือ บ้าน  บ้านที่มีความรัก  ความเมตตา  หวังดี  จริงใจ  และการให้อภัยกัน  จะเป็นที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข  และพร้อมลุกกลับไปต่อสู้กับโลกที่ร้อนรนสับสนวุ่นวายอีกครั้ง และเนื่องจากครอบครัวเป็นหน่วยสังคมพื้นฐาน    ที่ประกอบกันขึ้นเป็นประเทศชาติ  ถ้าหากครอบครัวเช่นนี้มีมากขึ้น ๆ  จะทำให้ประเทศไทยเป็นบ้านที่แสนสุขของคนไทยทั้งชาติเป็นที่อิจฉาของนานาอารยประเทศว่า  แหม!  คนไทยนี้ช่างมีบุญจริงหนอ

            2. ศีลมัย   บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล  คือ มีชีวิตที่ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร ไม่ทุจริตลักขโมยของใคร ไม่แย่งของรักใคร ไม่โกหกหลอกลวงใคร ไม่ขาดสติ  ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยบาป  นี้ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง   คนไทยบำเพ็ญบุญข้อแรกกันมากก็จริง  แต่ดูเอาเถิด!  บุญข้อสองให้ความสำคัญกันกี่มากน้อย  ทำได้  ครบ ๆ กันสักกี่คน   แล้วยังมาบ่นว่าคนไทยทำบุญตั้งเยอะไม่เห็นเจริญสักที  สู้ประเทศอื่นที่เขาไม่นับถือพุทธศาสนาก็ไม่ได้   ก็บุญมี 10  อย่าง  แต่ทำมาก ๆ แค่อย่างแรก อีก  9  อย่างบกพร่อง  ประเทศชาติจะเจริญมั่นคงได้อย่างไร 

บุญส่วนรวมของคนไทยมันบกพร่องมาก  ขอบอกตรง ๆ   ศีลนั้นในทางโลก หมายถึง กฎ  กติกา  ระเบียบวินัย  ทราบกันดีใช่ไหมว่า คนไทยขาดวินัยกันมาก  ชอบทำอะไรตามใจ  ดูวินัยบนท้องถนนเป็นตัวอย่าง  อาตมาเคยนั่งแท็กซี่ไปทำธุระแล้วรถติดมาก  คนขับรถผิดกฎจราจรมีให้เห็นตลอดทาง  บางแห่งเพิ่มจากสองช่องจราจร   เป็นสามช่องกันเองโดยพลการ  ฝั่งตรงกันข้ามก็ถูกบีบจนเหลือช่องทางเดียวเป็นอย่างนี้  ทุกวัน ตำรวจจราจรก็ไม่รู้จะทำอย่างไร   อาตมาก็บอกว่า  ปัญหารถติดในกรุงเทพฯนั้น  แก้กันไม่ตกได้สักที  ก็เพราะคนขาดวินัยบนท้องถนน  คนขับรถกล่าวว่า ไม่ใช่หรอกครับ  ที่เป็นปัญหาโลกแตกกี่ยุคกี่สมัยก็แก้ไม่ได้นี้  เป็นเพราะคนไทยนิสัยไม่ดี  ชอบละเมิดกฎหมาย  ขาดระเบียบวินัย  เริ่มตั้งแต่วินัยในบ้าน  ที่ทำงาน  แวดวงราชการ  ธุรกิจ  การเมือง ฯลฯ  แล้วรวมถึงมาแสดงออกให้เห็นบนท้องถนน  คนไทยเป็นอย่างไรดูได้จากท้องถนนนี่แหละครับ  ถ้าจะแก้ปัญหาจราจร  ก็ต้องแก้ที่ระเบียบวินัยของคนในชาติจึงจะถูก   เริ่มตั้งแต่ที่บ้านเลยครับ  

อาตมาฟังแล้วชอบใจ  พบทางสว่าง   จริงของเขา!  ถึงที่หมายแล้วจึงจ่ายเงินค่ารถให้พิเศษ   เป็นการติดกัณฑ์เทศน์ขอบคุณที่ให้ปัญญา  เห็นไหม บุญทำได้ไม่ยากเลย  ออกจากบ้านขับรถถูกฎจราจรก็ได้บุญแล้ว  รักษาศีลแล้ว  ช่วยคนไทยชาติไทยแล้ว

          3. ภาวนามัย  บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา คือทำจิตใจให้ผ่องใส ทำใจให้สงบ   ภาวนา  หมายถึงการทำให้เกิดมีขึ้นเจริญขึ้น  เช่น  สวดมนต์ภาวนา  สมาธิภาวนา  เป็นการทำให้จิตใจสงบและเจริญขึ้น  ปัญญางอกงามขึ้น  ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนทางโลก   ก็จัดเป็นภาวนาด้วยเหมือนกัน   เพราะคำว่า  การศึกษา   หมายถึง  ความเจริญงอกงาม  ผู้มีการศึกษาจึงเป็นผู้เจริญ  เจริญด้วยปัญญาและจิตใจ  มีอารยธรรม  มีคุณธรรม    นักเรียนนักศึกษาที่เรียนรู้ฝึกฝนตนในแขนงวิชาต่าง ๆ   อย่างขยันขันแข็งและตั้งใจ  จนเชี่ยวชาญแตกฉานด้วยความรู้ที่คู่คุณธรรม  ได้ชื่อว่า บำเพ็ญภาวนา  เป็นการฝึกฝนตนให้เจริญ  และสังคมที่มีบุคลากรเช่นนี้ย่อมเจริญรุดหน้า  มีความมั่นคงมั่งคั่งสงบสุข  การทำเช่นนี้  นับว่าเป็นบุญชนิดหนึ่ง  คือภาวนามัย  แต่ถ้าได้เฉพาะความรู้ได้แต่ใบปริญญา  แต่จิตใจไม่เจริญงอกงามขึ้นด้วย  นับว่าเป็นการศึกษาที่ล้มเหลว  ไม่ต่างอะไรไปจากคนไม่มีการศึกษา  และการศึกษาก็ไม่จำกัดแค่ต้องเข้าชั้นเรียนต้องได้ใบปริญญาเท่านั้น  เช่น  การรับฟังวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารจนเกิดปัญญา  การรู้จักคิดค้นคว้าพัฒนางานให้ดีขึ้น ฯลฯ   ล้วนเป็นภาวนา เป็นความเจริญ  ก็ได้บุญแล้ว  ทั้งส่วนตนและส่วนรวม  เห็นไหมทุกเรื่องในชีวิตล้วนเป็นบุญได้ทั้งนั้นถ้ารู้จักทำ

            บุญสามประการนี้ก็ได้แก่  ทาน  ศีล  ภาวนา  ที่เราคุ้นหูกันอยู่แล้วนั่นเอง  จากนี้ไป  มาดูบุญที่เรามักไม่ค่อยรู้จักกันตามลำดับ

          4. อปจายนมัย  บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตน  คือไม่กระด้าง ไม่ถือตัว ไม่ดื้อดึง  ไม่ว่านอนสอนยาก  คนเราส่วนใหญ่จะยึดถือตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นสำคัญ ยึดความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ทำให้เกิดทิฏฐิมานะ กันเป็นจำนวนมาก ญาติโยมอาจจะคิดว่า เอ๊ะ!  การไม่กระด้างถือตัวนี้ก็เป็นบุญด้วยหรือ อย่าคิดว่าง่าย ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ ดังกล่าวแล้วว่า คนส่วนใหญ่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดี ตัวเองเป็นที่หนึ่ง ความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีใครที่เก่งกว่าใครไปทุกอย่าง บางอย่างเราก็เก่งกว่าเขา บางอย่างเขาก็เก่งกว่าเรา  เราอย่ากระด้าง ดื้อดึง เราต้องเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม ประพฤติตนเป็นผู้ที่อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ต่อคนที่ควรเคารพกราบไหว้ นี่เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง เป็นความดีแล้ว  สังคมไทย  โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ขาดบุญข้อนี้กันมาก  เด็กจึงไม่น่ารัก  ไม่น่าส่งเสริม  เพราะเขาขาดบุญข้อนี้นี่เอง  เด็กเอ๋ย ! (รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย) ทำข้อนี้มาก ๆ นะแล้วบุญจะช่วย ไปที่ไหนจะมีแต่คนรักเอ็นดูส่งเสริม  เป็นคนมีบุญช่วยเสมอ

          5. ไวยยาวัจจมัย   บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายในกิจที่ชอบ  คือเป็นคนที่มีความขวนขวาย ไม่นิ่งดูดาย อยู่ที่ไหนไม่นิ่งเฉย อยู่บ้านก็กวาดบ้าน  ถูบ้าน  ทำโน่นทำนี่  วันนี้จะไปตลาด  ถามว่าใครจะฝากซื้ออะไรไหม  ช่วยซื้อของมาก็ได้บุญแล้ว เจอครูบาอาจารย์ยกมือไหว้ทักทาย  ถ้าท่านถือของมาพะรุงพะรังเราก็เข้าไปช่วย เลิกงานออกจากห้องช่วยปิดแอร์ ปิดไฟ ปิดประตูหน้าต่าง

ขวนขวายในกิจที่ชอบเป็นคนที่ไม่นิ่งดูดาย

พยายามทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ เท่านี้ก็ได้บุญแล้ว

หาบุญใส่ตัวได้ง่าย ๆ ทุกที่ทุกเวลาเลยเห็นไหม

 

  น้ำหยดทีละหยดก็เต็มโอ่งใหญ่ได้  ฉันใด

บุญและบาปทีละน้อยค่อยสั่งสม  ก็เต็มได้ด้วยบุญและบาป  ฉันนั้น

 

 ตีพิมพ์ในนิตยาสาร  การศึกษาอัพเกรด  ฉบับที่  035  ประจำวันพฤหัสบดี ที่  21 - 28  มิถุนายน  2550

 

หมายเลขบันทึก: 216973เขียนเมื่อ 16 ตุลาคม 2008 15:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 19:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

นมัสการพระคุณเจ้าค่ะ

krutoi มารับธรรมะไปปฏิบัติ

กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คะ

นมัสการครับ

อีก ๔ วิธีที่เหลือเป็นอย่างไรหรือครับ

อยากสดับเทศนาธรรมคำอธิบายบุญ ๑๐ ประการจากท่านต่อครับ

นมัสการค่ะ พระอาจารย์

ลูกศิษย์มารายงานตัวค่ะ

ท่านเทศนาได้ดีมากเลยนะคะ

อนุโมทนา สาธุ นะคะ

กราบนมัสการพระอาจารย์

ขอกระผมและครอบครัวเป็นลูกศิษย์ท่านด้วยคน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท