ไม่น่าเชื่อนะครับ
ว่าประเทศไทยยังไม่เคยมียาแผนปัจจุบันที่เราพัฒนาขึ้นเองในประเทศไทยเลย
งานพัฒนายามาลาเรียตัวนี้
จึงเป็นการพัฒนายาแผนปัจจุบันเป็นครั้งแรกของประเทศ
และยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จ ความรู้สึกของผมคือ
งานนี้ยากและซับซ้อนกว่าที่คิดไว้
หน่วยงานที่ออกเงินสนับสนุนคือ ศช. กับ สกว.
โดยองค์การเภสัชกรรมจะผลิตออกจำหน่ายหากการพัฒนายานี้ประสบความสำเร็จ
และได้รับความร่วมมือจาก WHO/TDR ด้วย
เราทำงานนี้กันมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑
เริ่มตั้งแต่การสังเคราะห์ตัวยาทางเคมี
ซึ่งต้องผลิตตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing
Procedure) การพัฒนาสูตรยา
(formulation)
การทดสอบความเป็นพิษด้านต่างๆ
การทดสอบความคงตัวของยา
การทดสอบการดูดซึมและเภสัชจลนศาสตร์
ระหว่างนี้เราค้นพบความรู้ใหม่ เกี่ยวกับการสลายตัวของตัวยา
และการเกิดอนุพันธุ์จากการสลายตัว
ได้รายงานผลการวิจัยที่จะลงพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ
นั่นคือการศึกษาในช่วงที่เรียกว่า preclinical phase
ซึ่งก็ผ่านมาได้แบบใจหายใจคว่ำในบางช่วง
เวลานี้เข้าการทดลองช่วง clinical phase (ต้องทำแบบ GCP – Good
Clinical Procedures) ซึ่งผ่าน clinical phase 1
ไปแล้ว มีคนที่ซีดลงประมาณร้อยละ ๑๐
คนที่ซีดลงเท่ากับเลือดหายไป ๑ ถุง (๔๐๐
ซีซี)
ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกมาช่วยกันดูผลแล้ว
แนะนำให้เดินต่อไปที่ clinical trial phase 2 ซึ่งจะใช้เงิน ๑๘.๖
ล้านบาท
ที่ผ่านมา ใช้เงินไปแล้ว ๕๒ ล้านบาท
Clinical trial phase 2
จะใช้เงิน ๑๘.๖ ล้าน
ทำในผู้ป่วยมาลาเรียชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน ๑๖๘ คน
คณะอนุกรรมการนโยบาย กำกับ ดูแล ติดตาม และประเมินผล
การดำเนินการโครงการ อนุมัติให้ดำเนินการ clinical trial phase 2 ต่อ
เมื่อวันที่ ๒๗ มีค. ๔๙
Clinical trial phase 3 จะใช้เงิน ๖๐ ล้านบาท
ทำในผู้ป่วยมาลาเรีย ๑,๒๐๐ คน ใน ๗
ศูนย์
ผลประโยชน์ที่ได้
นอกจากโอกาสที่ประเทศไทยจะได้ยาชนิดใหม่ นำมาจดทะเบียนกับ อย.
(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ผ่านการพิจารณาและได้รับการจดทะเบียน
แล้ว
ผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งคือการเรียนรู้หรือประสบการณ์ในการทำงานนี้
เป็นประสบการณ์ร่วมกันของคณะกรรมการ
และผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้ที่น่าจะได้มากที่สุด คือ
รศ. นพ. สุพรชัย กองพัฒนากูล หัวหน้าโครงการ
ซึ่งจะเป็นผู้เขียนประสบการณ์การพัฒนายานี้ออกเผยแพร่
วิจารณ์ พานิช
๒๗ มีค. ๔๙
คนไทยมีดี ถ้าคิดจะทำไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยทำได้ เย้ เย้ คนไทยเก่งจัง