HEADLINE: Patho-OTOP คึกคัก เจ้าหน้าที่……แห่เข้าร่วมโครงการอย่างคับคั่ง ?????


ไม่ว่าทำงานอะไรเล็กหรือใหญ่ เราคงไม่สามารถทำให้เพื่อนทั้ง 100% มาช่วยเราและช่วยอย่างเต็มกำลังเท่าๆ กันได้

    ประกาศ ประกาศ ถึงท่าน CKO

          “เรื่องที่หนูคุยกับท่านวันนี้ตอนเย็นเอาเป็นตอนหน้านะคะ เพราะตอนนี้ค้างมานานแล้ว
           พบหน้ากับท่านพี่โอ๋-อโณ เลยถูกถามว่า ไม่เห็นมาเขียนบล๊อกตั้งหลายวันแล้ว ตอบพี่โอ๋ไปว่า ที่ผ่านมามีแต่ไปงานแต่งงาน เพราะเดือนนี้บรรดาสหายแต่งงานกันไป 4 คน (อันที่จริงเดือนนี้ไปงานศพมาด้วยอีก 1 เอาเข้าจริงเราก็เป็นนางเอกหนัง “four weddings with a funeral” ได้นะนี่)  ถ้าเขียนถึงเรื่องนี้จะเป็นการประจานตัวเองทางอ้อมเปล่าๆ (ว่ายังไม่แต่งงาน) แต่จริงๆ แล้วช่วงนี้กำลังปั่นโครงร่างวิจัยอยู่ค่ะ
          วันก่อน (หลายวันมาแล้ว)ได้มีโอกาสคุยกับท่าน CKO (เล็กพริกขี้หนู) ของเรา เรื่อง ทำไมโครงการพัฒนางานของสมาชิกหน่วยเราถึงไม่ค่อยคึกคักเหมือนกับหน่วยอื่นๆ ?” ทำอย่างไรให้ประสงค์ของท่าน CKO เป็นจริง ได้ลงพาดหัวข่าวเหมือนกับชื่อบันทึกอันนี้  ฉันเลยลองนึกๆ ดูว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง โดยแบ่ง ความน่าจะเป็น ออกเป็นระดับตามความเห็นของฉันเองดังนี้
                   A: น่าจะเป็นจริง     B: พอจะเป็นไปได้    C: ไม่น่าจะเป็นไปได้
1. สมาชิกเราทำงานหนักกว่าสมาชิกหน่วยอื่นๆ (C): ฉันว่าหนักกว่าคนอื่นไม่น่าจะใช่ เพียงแต่ว่าลักษณะงานของสมาชิกหน่วยของฉันมันค่อนข้างเหมือน โรงงานเหมาโหล  เวลาที่งานมา มันจะมาเป็นล๊อต เจ้าหน้าที่ขึ้นเบอร์ชิ้นเนื้อเป็นล๊อต หมอปาโถก็ตัดเนื้อเป็นล๊อต เจ้าหน้าที่ตัดสไลด์ก็เป็นล๊อต เพราะชิ้นเนื้อผ่านกระบวนการก่อนตัดเป็นสไลด์พร้อมๆ กัน เจ้าหน้าที่พิมพ์ผลก็เป็นล๊อตๆ เพราะหมอปาโถอ่านสไลด์ทีหนึ่งเป็นล๊อต ถ้าหมอปาโถไม่อ่านสไลด์ เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีผลพิมพ์  ซึ่งก็น่าจะมีเวลาว่างพอที่เขาจะคุยกันถึงเรื่องงานได้ นอกเหนือไปจากการคุยเรื่องสัพเพเหระซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยผ่อนคลาย จะให้คุยแต่เรื่องงานอย่างเดียว สงสัยคงเครียดกันน่าดู หรือแม้กระทั่งนอกเวลาราชการวันละไม่กี่นาที ก็น่าจะได้  
2. ไม่อยากทำ ไม่มีแรงจูงใจ (A): อันนี้มีเค้าว่าจะจริงค่ะ เพราะมีพี่ท่านหนึ่งเปรยกับฉันว่า ผมเป็นแค่ลูกจ้าง จะให้ผมเสนออะไร รอให้ข้าราชการเขาเสนอดีกว่า อ้าว แล้วกันพี่ท่าน ฉันว่าคนอย่างนี้ ควรได้รับความเอาใจใส่และสร้างแรงจูงใจที่ ตรงกับใจ ให้เขานะคะ เพราะเขาเองมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว
3. ขาด คุณอำนวย” (C) แต่ถ้าเป็น ขาด คุณอำนวยที่ดี อันนี้ต้องให้ (B): ถ้าจะดูเฉพาะว่าเรามีคนที่ พอจะเป็น คุณอำนวยได้นั้น ฉันว่าพอจะมี แต่ไม่นับเรื่องคุณภาพก่อนนะคะ เพราะกว่าจะได้ คับแก้ว แบบคุณอำนวยท่านอื่นๆ คงต้องฝึกวิทยายุทธสักพัก คุณอำนวยในที่นี้ก็คือ คนที่คอยช่วยเหลือ มองประเด็น กระตุ้นและ ติดตามงานให้กับเจ้าหน้าที่ ฉันว่าอันนี้สำคัญมาก เพราะอันที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่บางคนอาจจะอยากทำโครงการอะไรซักอย่าง พอไปปรึกษาคนที่ไม่ใช่คุณอำนวย หรือเป็นคุณอำนวยที่ไม่ดี ไม่สามารถให้คำแนะนำ หรือหาทางออกของปัญหาได้ ก็อาจหมดกำลังใจที่จะทำต่อ
4. มี ช่องว่าง ระหว่างสมาชิก (AA): อันนี้ให้ดับเบิ้ลเลยค่ะ จากที่ท่าน CKO ชี้ประเด็นให้ดู ฉันว่าน่าจะจริง เนื่องจากหน่วยของฉัน มี อาจารย์ แล้วก็ข้ามไปเป็น เจ้าหน้าที่ เลย มันไม่มีคนที่อยู่ ตรงกลาง ที่เป็นเหมือนคนประสาน และคอยช่วยเหลือที่เจ้าหน้าที่ พร้อมจะพูดคุยแบบ พี่น้อง เพราะเวลาอาจารย์คุยกับเจ้าหน้าที่ มันมักจะดูเหมือน สั่งการ ให้ทำมากกว่า ถ้าจะลดช่องว่างโดยใช้คุณอำนวย ก็มีปัญหาอีกว่าใครจะเป็นคุณอำนวย ถ้าให้อาจารย์เป็นคุณอำนวย ก็ต้องพยายามลดบทบาทหน้าที่ สั่งการ ลงบ้าง ถึงจะสำเร็จ
5. เฉพาะบุคคล (A): นักศึกษาแพทย์เคยบอกฉันว่า เขาไม่รู้จะจัดการกับเพื่อนที่ไม่ยอมช่วยเหลืองานของชั้นปีอย่างไรดี ฉันตอบเด็กๆ ว่า แทนที่เราจะมองว่าเพื่อนเห็นแก่ตัว เรายอมรับความจริงดีกว่าว่า ไม่ว่าทำงานอะไรเล็กหรือใหญ่ เราคงไม่สามารถทำให้เพื่อนทั้ง 100% มาช่วยเราและช่วยอย่างเต็มกำลังเท่าๆ กันได้ แทนที่เราจะโกรธเพื่อนคนนั้น ให้เราลองมองในด้านบวก (positive thinking) ดีกว่าว่า ในอนาคต เพื่อนคนนั้นอาจได้เป็นใหญ่เป็นโต เรียนได้เกียรตินิยม (เพราะเอาเวลาที่ต้องช่วยงานชั้นปีไปอ่านหนังสือสอบแทน) เราอาจจะได้พึ่งพาเขา ในเรื่องนี้ก็เหมือนกันค่ะ เราคงไม่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนลุกขึ้นมาทำโครงการพัฒนางานกันหมด แต่เราก็หวังว่า เขาจะเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนางานนั้นๆ แม้ว่าจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ก็ยังดี (ให้กำลังใจ ไม่ขวางทางก็ดีแล้ว)
         อย่างอื่นยังนึกไม่ออกค่ะ ขณะที่พยายามนึกหาทางช่วยทำให้โครงการมันคึกคัก ก็พอดีว่า เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์บางอย่างขึ้น เลยคิดว่า น่าจะให้เหตุการณ์อันนี้เป็นตัวกระตุ้นเจ้าหน้าที่ในการพัฒนางานของตนเอง แต่ไม่ได้หยิบเอาความผิดพลาดโดยตรงมาเป็นตัวกระตุ้นนะคะ แต่ใช้ concept ว่า “culture is safety” มาเป็นตัวกระตุ้นแทน ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า แต่คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 21649เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2006 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • อยากให้ขยายเป็น "culture is patient safety"
  • วิธีถ่ายทอด SWOT ของคุณยอดเยี่ยมมาก
  • อยากให้คนในหน่วยช่วยแจมความคิดความเห็นบันทึกด้วย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท