ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงมูลเหตุ การบัญญัติอัตตาว่า เพราะเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. เพราะเชื่อว่าอัตตาของตนเองที่มีรูปเป็นกามาวจร (เช่น รูปของมนุษย์)เป็นสภาพที่เที่ยงแท้
๒. เพราะเชื่อว่าอัตตาที่มีรูปอันไร้ขอบเขต (เช่น อวกาศ) เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
๓. เพราะเชื่อว่าอัตตาของตนมีรูปที่ไม่ใช่เป็นกามาวจร (รูปที่อยู่นอก เหนือจากข้อ ๑ เช่น พระเจ้า) เป็นสภาพที่เที่ยงแท้
๔. เพราะเชื่อว่าอัตตามีลักษณะไร้รูปและไร้ขอบเขต (เช่น สังกัปใน เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือแนวความคิดเรื่องแบบของเพลโต้เป็นต้น) เป็นสภาพที่ยงแท้.
พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเหล่านี้เป็นผู้หลง “ยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้เพื่อให้สำเร็จเป็นสภาพที่เที่ยงแท้”
ถัดมาได้ทรงแสดงให้เห็นว่า แนวความคิดเรื่องอัตตาจะเกิดด้วยพื้นฐาน คือเวทนา หรือการที่มนุษย์เริ่มมีความรู้สึกและรับรู้โลกนี้. เพราะการรับรู้และมีความรู้สึกต่อโลกนี้ จึงทำให้เกิดการแสวงหาอัตตาขึ้น. ด้วยพื้นฐานนี้ ทำให้สามารถแบ่งแนวความคิดในการสร้างอัตตาออกได้เป็น ๓ กลุ่ม.
กลุ่มแรก พวกที่บัญญัติอัตตาสัมพันธ์กับความรู้สึกที่ตนมี. ในข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว เวทนา ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลของปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา และความรู้สึกก็มิได้แตกต่างออกไป เช่น สุข ทุกข์, เมื่อเป็นอย่างนี้ ส่วนไหนคืออัตตาของเรา.
บางท่านอาจกล่าวว่า “ตัวที่รับรู้ความรู้สึก” คือตัวอัตตา, ไม่ใช่ที่ “ความรู้สึก.” คำตอบมีว่า เราจะเห็นได้ว่า ตัวที่รับรู้ความรู้สึกกับความรู้สึกคือสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ ตัวรับรู้ความรู้สึกไม่เคยมีความหมายหากไม่รับรู้ความรู้สึก,ดั้งนั้น การปฏิเสธความรู้สึก ก็คือ การปฏิเสธตัวรับรู้ความรู้สึกด้วย. จริงๆ แล้ว ในข้อนี้พระพุทธองค์กำลังปฏิเสธการถือว่า วิญญาณ คืออัตตานั่นเอง.
กลุ่มที่สอง คือ พวกที่ถือว่า อัตตาของเราก็คือส่วนที่ไม่ต้องเสวยเวทนา.พระพุทธองค์ได้ตั้งคำถามว่า รูป (ร่างกายของเรา) ที่ไม่ได้เสวยเวทนาก็มี, รูปส่วนนั้นของเราจะเกิดความคิดเป็นอัตตาของเราได้หรือ.
กลุ่มที่สาม คือ พวกที่ยืนยันว่า ตัวรับรู้ความรู้สึก คืออัตตาของเรา (ไม่ใช่ตัวความรู้สึก). ในข้อนี้พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งคำถามว่า วันหนึ่ง เมื่อเวทนาดับไปแสดงว่าตัวเสวยเวทนาดับไปด้วยกระนั้นหรือ และถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าอัตตาของเราก็ดับไปด้วย.
ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การมีอัตตาเป็นเพียงความพยายามที่จะบัญญัติสิ่งหนึ่ง ที่ “ดำรงอยู่ตามปรกติของตนเอง” เพื่อยึดถือว่าเป็นตัวเอง. อัตตาจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความยึดมั่นที่ตามมา.
ด้วยเหตุนี้เอง พุทธองค์จึงตรัสว่า
ชื่อ ทางแห่งชื่อ นิรุตติ ทางแห่งนิรุตติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ การแต่งตั้งทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา วัฎฎะยังคงเป็นไปอยู่ตราบใด วัฎฎสงสารยังคงหมุนเวียนไปตราบนั้น
โดยพื้นฐานตามหลักอัตตานิยม การจะสรุปว่าสิ่งใดเป็นอัตตา จึงเป็นเพราะมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถาวรและมีอยู่จริงในฐานะเป็นสิ่งที่อยู่ในอำนาจของเรา.อัตตาต้องการความมีพลัง. การเคลื่อนไหวและการสืบต่อ. ความมีอยู่พื้นฐานที่ก่อให้เกิดศักยภาพเช่นนี้เท่านั้นจึงมีค่าเป็นอัตตา.
ลักษณะเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความสำคัญแตกต่างอันสำคัญระหว่างจุดหมายของการแสวงหาความมีอยู่พื้นฐานของอภิปรัชญา กับการแสวงหาอัตตา. อภิปรัชญาเพียงต้องการแสวงหาสิ่งที่มีอยู่จริง. ไม่สำคัญว่าสิ่งนั้นจะเป็นอัตตาหรือไม่. ส่วนกลุ่มอัตตานิยม จะแสวงบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็น “ตัวรองรับความมีอยู่ของตนเอง.” นักนิยมอัตตาอาจต้องการพื้นฐานทางอภิปรัชญาที่แน่ชัดเพื่อยืนยันความมีอัตตา.
จุดหมายในการปฏิเสธอัตตาของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท จึงไม่ใช่การปฏิเสธความมีอยู่พื้นฐานที่ทางอภิปรัชญาแสวงหา อันเป็นความมีอยู่ที่แท้จริง (ถ้าจะมีความมีอยู่แท้จริงนั้นอยู่), แต่เป็นการปฏิเสธการยอมรับสิ่งใดๆ ที่จะเป็นอัตตา.
สมมติว่า ถ้าอภิปรัชญาได้พิสูจน์ว่า สิ่งหนึ่ง คือ A เป็นความมีอยู่ทางอภิปรัชญา, พุทธศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธความจริงนี้ตราบเท่าที่ยังไม่มีการ-->ยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นอัตตา,
ทั้งนี้ เพราะว่า"สิ่งมีอยู่" ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอัตตาด้วย. สมมติว่า กลุ่มอัตตานิยมยอมรับ A ว่าเป็นอัตตา. ในข้อนี้ พุทธศาสนาปฏิเสธการยืนยันเช่นนี้ เพราะเป็นการขัดแย้งกับตนเองอย่างสิ้นเชิง ดังที่กล่าวแล้ว,ความมีอยู่ย่อมไม่สามารถเป็นอัตตาของสิ่งใดๆ ได้, และคงต้องพิสูจน์ว่า A เป็นความมีอยู่ทางอภิปรัชญาหรือไม่.
เนื่องจากว่าในความเป็นจริง การยึดว่าเป็นอัตตาล้วนมีพื้นฐานในสิ่งที่เป็นองค์ประกอบพหุภาพ, หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยตัวเอง, และผสมผสานด้วยการสร้างมโนภาพของมนุษย์เพื่อยึดสิ่งเหล่านั้น ที่ไม่ใช่เป็นอัตตาของมนุษย์ที่แท้จริง, อัตตาจึงไม่มีอยู่จริงมองเฉพาะในส่วนของสังขตธรรม
พุทธศาสนาไม่ใช่พิจารณาแค่เพียงการที่สรรพสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้และทอนลงเป็นส่วนย่อยเพียงอย่างเดียว, แต่รวมถึงการเกิดดับและถ่ายถอดผลไปสู่สิ่งใหม่ด้วย โดยเป็นการยอมรับความมีอยู่ที่เป็นเพียงสายแห่งความสัมพันธ์ตามหลักกลไกของจักรวาล. ข้อนี้รวมไปถึงส่วนทั้งมวล คือธาตุพื้นฐานด้วยเช่นกัน. สรรพสิ่งไม่ใช่ไม่มี เพราะมันปรากฏในขณะนั้น, เช่นที่เรากำลังสัมผัสรับอยู่นี้, และในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ใช่มีอยู่ เพราะสิ่งต่าง ๆ มีการเกิดขึ้นมา, กำลังเปลี่ยนแปลง และในไม่ช้าก็จะสลายไป.
ถ้ามันมีอยู่จริง ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้. แม้ว่าในพุทธศาสนาจะมีการยอมรับว่า มีบางส่วนที่มีอยู่ เช่นธาตุพื้นฐานเป็นต้น แต่ก็เป็นเพียง “การมีอยู่ในฐานะเป็นกระแสปัจจัยต่อกัน.”
ไม่มีอะไรที่เป็นสังขตธรรมที่จะมีอยู่ได้โดยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น. โดยลักษณะเช่นนี้ พุทธศาสนาถือว่า เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆ แม้ขนาดเท่าปรมาณู ที่จะคงที่, เที่ยงแท้, และไม่เปลี่ยนแปลง. พุทธศาสนายอมรับความมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้แต่เป็นความมีอยู่ที่เคลื่อนไหลไปเสมอ. ข้อนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้สรุปได้ว่าไม่อยู่ในอำนาจ. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความมีอยู่ของสังขตธรรมที่เกิดจากการรวมกันของปัจจัยไม่มีแก่นสารของตัวเอง จึงเป็นเหตุผลหนึ่งของการยืนยันความเป็นอนัตตาด้วย.
ไม่มีความเห็น