เรื่องเล่าของพวกเรา ชาว ”ยุพราชปัว จังหวัดน่าน : การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต (6 ตุลาคม 2551)
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 มีการทำกิจกรรมทบทวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายในความดูแล โดยริเริ่มขึ้นในบางหอผู้ป่วย จนได้แนวทางในการดูแลขึ้นมาและขยายผลนำไปใช้ในหอผู้ป่วยอื่น แต่ทั้งนี้เนื่องจากการเจ็บป่วยจนเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตนั้น เป็นภาวะการณ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ซับซ้อน เกี่ยวเนื่องกันไปหมดทุกด้าน เมื่อมีการเจ็บป่วยทางกายที่รุนแรงไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้แล้วนั้น ย่อมที่จะกระทบกับภาวะสุขภาพในมิติทางด้านจิตใจ ซึ่งก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา มีการเสาะแสวงหาที่พึ่งทางใจ มีผลกระทบต่อมิติความสัมพันธ์ทางด้านครอบครัว สังคม ซึ่งจากผลกระทบหลายด้านดังกล่าวทำให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องใช้เวลาในการดูแลค่อนข้างมาก ต้องการความต่อเนื่อง และต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการดูแลที่ซับซ้อนดังกล่าว ทำให้การนำแนวทางปฏิบัติที่กำหนดขึ้นในระยะแรกไปใช้นั้น ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร การใช้แนวปฏิบัติยังจำกัดอยู่เพียงบางหอผู้ป่วยและบางมิติเท่านั้น
ยังมีประเด็นซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาที่สำคัญ ที่ทำให้กระบวนการดูแลผู้ป่วยเกิดความต่อเนื่องและครอบคลุมในแต่ละมิติ นั่นคือ การจัดการให้มีบุคลากรที่รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยตรง
PCT ได้เริ่มโครงการพัฒนาคุณภาพระบบการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยระยะสุดท้าย ขึ้นอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยอาศัยรูปแบบการจัดการรายกรณีของพยาบาลผู้ปฏิบัติการขั้นสูง (APNs case manager) มีการทบทวนแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายขึ้นใหม่โดยอาศัยหลักฐานอ้างอิงเชิงประจักษ์ มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของโรงพยาบาล
สมเด็จพระยุพราชปัว โดยมีกระบวนการในการดูแลคือ เมื่อมีผู้ป่วยเข้ามา Admit แพทย์จะเป็นผู้ให้ตัดสินวินิจฉัยว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิตหรือไม่ ถ้าใช่ แพทย์ก็จะเขียนระบุลงไปใน chart ว่าแจ้งทีมดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย พยาบาล ward ก็จะมีการแจ้ง case มาที่ APNs case manager เพื่อเข้าไปร่วมดูแลตามแนวทางที่กำหนด เน้นการดูแลอย่างเป็นองค์รวม มีการประเมินผลกระทบของการเจ็บป่วยในเชิงรุกทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ไม่รอจนกว่าจะมีอาการปรากฏชัดเจน มีการวางแผนการจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่องที่บ้านร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย มีช่องทางการติดต่อทางโทรศัพท์ เป็น Hot line 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยและญาติในการกลับไปดูแลต่อเนื่องที่บ้าน กรณีผู้ป่วยเสียชีวิตก็จะมีการติดตามดูแลต่อเนื่องแก่ครอบครัวภายหลังการเสียชีวิตของผู้ป่วยอีกด้วย
ผลลัพธ์ของการดำเนินการ พบว่า เราได้ดูแลคนไข้กลุ่มนี้มาด้วยกันทั้งสิ้น 64 ราย ในระยะเวลา 14 เดือน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยและ/หรือญาติมีความพึงพอใจในการดูแลในระดับมาก ถึงร้อยละ 80 และในระดับมากที่สุด ร้อยละ 20 นอกจากนั้นในผู้ป่วยที่ติดตามได้ว่าเสียชีวิตแล้วนั้น มีการตายดี(Good death) ถึงร้อยละ 85.7 นอกจากนั้นเรายังได้ผลลัพธ์ที่ออกมาในรูปแบบของ คำชื่นชม รอยยิ้ม แววตาและคำขอบคุณ ซึ่งบอกไม่ได้ถึงมูลค่า
และอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ได้คาดหมาย แต่รับรู้ได้ด้วยใจของตนเอง ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานนี้ นั่นคือ จิตใจของตนเองที่อ่อนโยนขึ้น เราไม่เพียงแต่ได้ช่วยคนอื่น เรายังได้พัฒนาตนเองไปในคราวเดียวกัน อีกด้วย
สวัสดีค่ะ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆเลยค่ะ โอกาสหน้าอย่าลืมเล่าเป็น case นะคะ พอลล่ารออ่าน อย่างใจจดจ่อเลยค่ะ ส่งเรื่องเล่ามาพรพ. บ้างนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ
ต้องขอบคุณ คุณพอลล่า เป็นอย่างมากนะคะที่ให้ความสนใจ...คงเป็นโชคดีของคนเมืองปัว และเขตอำเภอใกล้เคียงน่ะค่ะ ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวของเรามีผู้บริหารระดับสูงที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ท่านได้ให้การสนับสนุนในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น ในการพัฒนาบุคลากร เร็วๆนี้ (28-30 พย 51)เราก็จะได้รับเกียรติจากทีมวิทยากรของเสมสิกขาลัยร่วมกับชมรมพุทธิกา มาจัดกระบวนการเรียนรู้เรื่อง เผชิญความตายอย่างสงบ ให้กับทีมบุคลากรด้านสาธารณสุขในองค์กรของเรา ซึ่งก็คาดว่าจะสามารถทำให้บุคลากรซึ่งเป็นผู้ให้การดูแล "เข้าใจ" ในกระบวนการเผชิญความตายของผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างลึกซึ้ง นำไปสู่การ "ยอมรับ"และให้การดูแลด้วยความ"เห็นอกเห็นใจ"และ "เคารพ"ในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นอย่างดี ต่อไป
ทางโรงพยาบาลของเรา ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เคยได้นำเสนอเรื่องราวของการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผ่านทางรายการโทรทัศน์ รายการ"โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกับชุมชน" ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง NBT เมื่อวันสงกรานต์ ที่ 13 เม.ย. 51 ที่ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่งค่ะ..และเคยนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องเล่า ในเวทีของ HA National Forum ครั้งที่ 9 ที่ผ่านมาที่เมืองทองธานี...และในโอกาสต่อไปคงได้มีโอกาสนำเรื่องราวที่ดีๆมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่อไปค่ะ...
หนูก็กำลังทำเหมือนกันค่ะ
โรงพยาบาลหนูยังไม่ได้เริ่มอะไรยังไม่มีระบบ ยังไม่มีทีม
มีหนูอยากทำ และเพื่อนในตึกเห็นหนูทำอยากมีความรู้
อยากทำได้เหมือนเรา หนูมีโอกาสได้ดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายคนหนึง(หนูเป็นพยาบาลตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาล30 เตียงค่ะ)แล้วมีพยาบาลคนหนึ่งในเวรเดียวกันนั้นวันนั้นเวรเช้าค่ะเข้าไป round iv ถามคนไข้ว่าต้องการอะไร คนไข้บอกว่าต้องการคุณหมอคุณครูคนเมื่อกี้มาสอนผมหายใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้หนูได้ไปดูแลเขา เขาหอบมากกระสับกระส่ายหนูไปพาเขาหายใจตั้งใจมีสมาธิอยู่กับการหายใจเพียงอย่างเดียวแล้วเขาก็ดีขึ้นค่ะ หนูรู้สึกภูมิใจมากๆๆค่ะ
สวัสดีครับ ดีใจที่รพ. ปัวดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี ให้กำลังใจครับ
สำหรับโรงพยาบาลหลายๆแห่งนั้น การที่อยู่ๆจะให้กำหนดแนวปฏิบัติ วางระบบลงมาเลย และมอบหมายให้มีคนรับผิดชอบดำเนินการตามแต่ละแนวทางที่วางไว้นั้น ถ้าปราศจากทีมงานหรือคนที่สนใจไฝ่รู้และมีใจที่อยากจะทำอย่างจริงจังแล้วนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นยังอีกไกล อย่างเช่นที่โรงพยาบาลของเราเองในช่วงแรกที่ดำเนินการนั้น มีKey man ของหน่วยงานผู้ป่วยในแห่งหนึ่งที่สนใจ มีการนำ case มาทบทวน เสาะหาเอกสารตำรามาศึกษาและในที่สุดก็กำหนดเป็นแนวปฏิบัติขึ้นมา และกระจายให้หน่วยงานข้างเคียงนำไปใช้ หลังจากนั้นเป็นปี เมื่อมีการประเมินผล/ทบทวนผลการดำเนินงาน พบว่าไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร ทั้งนี้เพราะไม่มีคนที่รับช่วงต่อกันอย่างจริงจัง ไม่ได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติ ไม่มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกิดขึ้น ใครอยากทำก็ทำไป ตึกไหนไม่ทำก็ไม่ได้มีผลอะไร...จนช่วงหลังมีผู้ที่สนใจอาสาเข้ามาทำงานนี้อย่างจริงจัง...รับconsult ถ้ามี case ให้แจ้งมา จะเข้าไปประเมินและดูแลร่วมด้วย...ต่อมาก็เริ่มมีการรับรู้กันในวิชาชีพข้างเคียงว่า มีคนสนใจรับดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่วมด้วยนะ ก็เลยเริ่มมีการพูดคุยและเปลี่ยนกันอย่างไม่เป็นทางการในกลุ่มคนที่สนใจ ใครมีหนังสือ CD สื่อการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องก็นำมาแบ่งปันกัน แลกกันอ่าน...จนเริ่มเป็นที่รับรู้กันมากขึ้นในโรงพยาบาล มีการส่ง case กันมากขึ้น ผู้บริหารสูงสุดก็ให้การสนับสนุน มีการจัดเวทีให้ได้มีการแบ่งปันเรื่องราวที่ได้เรียนรู้จากการดูแลผู้ป่วย...นี่แหละค่ะ คือก้าวย่างของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวของเรา...อยากเป็นกำลังใจให้กับ "peang" นะคะ ว่าค่อยๆศึกษา ค่อยๆทำไป อะไรก็ตามถ้าเรามีใจที่อยากจะทำ โดยเฉพาะในการดูแลผู้ป่วยแล้ว ...ผลบุญ..ความอิ่มใจ..ความสุขใจ จากการที่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวที่กำลังมีทุกข์นั้น...จะเป็นพลังหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้เติบโต งดงาม...และสิ่งนั้นจะเป็นแรงดึงดูดให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ...
ดีจังเลยค่ะ โรงพยาบาลปัว มีทีมงานที่เข้มแข็ง ทำด้วยความความสุข ปรารถนาดี และเต็มกำลังความสามารถ ทำให้ได้ผลลัพท์ที่น่าชื่นชมยินดี อย่างนี้ เป็นแบบอย่างที่ดี ให้แก่ โรงพยาบาลอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มได้ด้วย เป็นกำลังใจให้ค่ะ
เป็นรูปธรรมทั้ง quantitative และ qualitative
และชอบย่อหน้าสุดท้ายที่สุดเลยครับ ยินดีด้วยครับ น่าชื่นชมมากครับ
ขอชื่นชมคุณไพรินทร์ ในการทำหน้าที่ APN ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยากให้แชร์ Case ที่น่าท่านประทับใจ ในการดูแลแบบองค์รวมว่ามีกระบวนการอย่างไรที่สามารถช่วยให้ท่านเหล่านั้น ไปสู่เป้าหมายตายดี
ขอบตุณ
อยากให้ พี่นาย.. พัชรียา ไชยลังกา เขียน blog ด้วยครับ