ถ้าชีวิตทุกนาทีคือการทำงานละก็ ความกลัวก็เป็นสภาวะอันหนึ่งที่คนไปให้ค่า ไปตัดสินมันตามมุมมอง/ความรู้สึก ทั้งๆที่ตัวของมันเองไม่ดีไม่เลว ผลจากการฝึกฝนที่ฉันได้เรียนรู้มาคือ การคุกคามหรือบังคับ และ การไม่ทำอะไรหรือไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ไม่ใช่คำตอบของความพอดีหรือความสมดุลที่ต้องการในการใช้ความกลัวให้มันเป็น "ตัวช่วย" ให้กับการใช้ชีวิต ทั้ง 2 ประเด็นของพฤติกรรมเป็นเรื่องของความสุดโด่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับชีวิต
คนเรานั้นไม่รู้ตัวว่าที่ใช้ชีวิตอยู่ทุกนาทีนั้น ตัวเองรู้สึกอยู่ลึกๆเสมอว่ากำลังลงสนามอะไรสักอย่าง การมีอะไรลึกๆเกี่ยวกับการลงสนามนี่แหละจึงทำให้มีการให้ค่ากับความเก่ง ความแกร่ง ความเจ๋งของคนที่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งสังคมเรียกมันว่า “ค่านิยม” เมื่อสังคมให้ค่ามัน มันจึงสะสมขึ้นมาในใจคนทีละนิด ความกลัวเป็นผลพวงหนึ่งที่เป็นผลของการสร้างค่านิยมเหล่านี้ขึ้นมา
เมื่อคนที่ให้ค่ากับความเก่ง ความแกร่ง และความเจ๋งถูกทำร้าย ถูกโจมตี และทำให้เหนื่อย เขาจะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย ความปลอดภัยในที่นี้คือ การได้รับการยอมรับในความเก่ง ความแกร่ง ความเจ๋ง ความกลัวในที่นี้ก็คือ การไม่ได้รับการยอมรับ การไม่ได้รับการยอมรับทำให้คนยึดมั่นและให้ค่ากับเรื่องเหล่านี้ใช้ความกลัวเป็นตัวช่วยในชีวิตอย่างไม่สมดุล จะมีพฤติกรรมที่สุดโด่งเกิดขึ้น
ถ้าตั้งคำถามใหม่ว่ากลไกแบบเดิมๆอะไรที่เมื่อลงสนามใหม่ไปเรื่อยๆแล้วทำให้เขามั่นคงพอ ไม่หวั่นไหวกับความกลัว ที่จะช่วยจรรโลงให้เกิดความสุขในโลกภายในและเกิดความสมดุลกับโลกภายนอก ควรเป็นกลไกที่ทำให้คนมีพลังเหลือพอที่จะสร้างสิ่งดีๆ ทำอะไรที่มีประโยชน์ได้มากขึ้นไปได้อีก การทำให้คนๆหนึ่งได้ทำกิจบางประการทุกๆวัน จนใจได้เรียนรู้และคุ้นชินกับความกลัว รู้เท่าทัน กล้าเปิดใจต้อนรับไว้อย่างยินดี เหมือนการได้พบกับอริที่กลายเป็นมิตร จะทำให้เขาได้ ฝึกใจต่อไปให้คุ้นชินกับความกลัวจนมันเป็นเพื่อนรัก เป็นกลไกที่ควรหนุนให้เกิดมีขึ้นมา
การฝึกนี้ก็เพื่อให้คนๆนั้นได้รู้จักสภาวะที่ผ่อนคลายไปเรื่อยๆ ใจมันจะค่อยๆจำได้เองว่าภาวะที่สบายๆผ่อนคลายเป็นยังไง ดังนั้นแม้บางครั้งความกลัวเกิดมาในรูปแบบใหม่ อาการจะไม่รุนแรงมาก พฤติกรรมที่ออกมาจะเข้าใกล้สมดุลมากขึ้นๆ เป็นการฝึกเพื่อให้เขาวางใจให้ถูกจุด ถูกต้องไม่หลงออกนอกเส้นทางของการฝึกให้ยอมรับความกลัวไว้ และจะได้รู้เท่าทันความกลัว กล่อมเกลาความกลัวไว้เป็นเพื่อนประเภทที่แม้มาหาบ่อยๆก็ไม่รังเกียจแต่กลับยินดีที่ได้ต้อนรับ
การหลงออกนอกเส้นทางที่มักจะพบกันอยู่เสมอ ก็คือ การปรุงแต่งต่อเรื่องจริงให้เกิดเป็นเรื่องใหม่ จนกระทั่งเรื่องใหม่นี้หลอกตัวเองให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง การปรุงแต่งนี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยการคุยกับตัวเองแล้วความกลัวนั่นแหละที่มันเติมเรื่องแต่งเรื่องเพิ่ม ความกลัวนั่นแหละที่มันทำให้รีบมีการตัดสิน ความกลัวทำให้คิดเอง เออเอง เติมให้เป็นเรื่องที่ใหญ่มากกกก ทั้งๆที่เรื่องจริงมันไม่ได้มีอะไรมากมายอย่างที่คิดเลย
ฉันถือว่าการฝึกที่จะเรียนรู้จักกับความกลัวที่ฉันเล่าให้ฟังนี้ มันเป็นบทเรียนอีกบทที่จะนำตนเองออกจากพื้นที่ไข่แดงค่ะ ขั้นต่อไปที่กำลังจะฝึกก็คือ การจะไม่ลงมือจัดการอะไร ไม่ลงมือควบคุมอะไร การปล่อยให้สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ไม่เข้าไปแทรกแซงเมื่อเกิดความกลัว เพื่อเรียนรู้จากพฤติกรรมของตัวว่าความมั่นใจและความรู้สึกต่อพลังอำนาจของตนในขณะที่ลงมือทำอย่างนี้ มันเป็นอย่างไรค่ะ
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
สวัสดีครับหมอเจ๊แซ่เฮคนสวย ใช้ความกลัวเป็นครูก็เห็นด้วย
ว่าแต่ถนนสายนี้ผ่าน "ควนหมาตั้ง" หรือมั้ยครับ
สวัสดีครับคุณหมอเจ๊
ควนหมาตั้งมีทีมา ของความตกลงกันไม่ได้ของคนสองหมู่บ้านที่แย่งกันตั้ชื่อ ต่างก็ต้องการใช่ชื่อที่คนของหมู่บ้านตัวเองเป็นคนตั้ง เถียงกันไป เถียงกันมา มีคนรำคาญทะลุกลางปล้องขึ้นว่า ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้"หมาตั้ง "เสียแล้ จึงใช้ควนหมาตั้งด้วยปรการะฉะน๊ (ถนนอยู่ช่วงก่อนถึงตัวเมืองกระบี่ครับ)