หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

ใช้ความกลัวเป็นครู(3)


สิ่งที่ได้จากการไม่ตัดสินใจเร็วด่วนจากการได้ฝึกตัวเองนั้น ทำให้ได้มุมมองเพิ่มขึ้นว่าเหตุปัจจัยต่างๆมันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่ มองเห็นปมปัญหาที่แตกต่างไปจากที่เคยเข้าข้างตัวเองหรือมองความจริงด้านเดียวในแบบที่ไปยึดมั่นว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ทำให้รู้จักพิจารณาสิ่งต่างๆรอบด้านมากขึ้น ไม่รีบร้อนตัดสินจากมุมมองแคบๆหรืออคติส่วนตัวเช่นแต่ก่อน ซึ่งในมุมมองของสัตว์สี่ทิศนั้นฉันพบว่าการได้ฝึกเรียนรู้ที่ผ่านมา ทำให้ฉันเปลี่ยนตัวเองเมื่อเกิดความกลัวจากความเป็นกระทิงมาเป็นหมีมากขึ้นๆได้แล้ว การเปลี่ยนไปนี้ทำให้ฉันยอมรับความพลาดของตัวเองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆค่ะ

มีคนพูดให้ฟังว่ารู้สึกว่าตัวเองผิดปกติที่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภาวะของความกลัวบ่อยๆ ที่รู้สึกไปอย่างนี้เพราะคิดว่าความกลัวเป็นภาวะของคนที่อ่อนแอ  ความไม่อยากเป็นคนอ่อนแอ  จึงไม่ชอบความกลัว เพราะเมื่อรู้สึกกลัว ความมั่นใจจะหดหายไป  รู้สึกว่าตัวเองมีพลังอำนาจลดลง  

 

ยอมรับกันอยู่แล้วว่าคนธรรมดาๆมีความกลัวกันอยู่ทุกคน จึงแน่นอนว่าไม่มีใครชอบมันเท่าไหร่  เมื่อไรที่เกิดความกลัวขึ้นมา สังเกตตนบ้างไหมว่า จะรีบกระโดดออกไป ทำ เพื่อปกป้องตัวเองจากความกลัวที่รับรู้แล้วในใจ หรือเลือกชิงลงมือทำซะก่อนที่จะรู้สึกกลัว ฉันว่ามีคนน้อยกว่าน้อยที่จะกล้าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับมันและรู้เท่าทันมัน

 

การหาคนที่ยอมรับกับตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ขี้กลัวและกำลังรู้สึกกลัวง่ายกว่าการหาคนที่รู้เท่าทันความกลัวของตัวเอง  เมื่อใครรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย รู้สึกกับการถูกปฏิเสธ รู้สึกกับการถูกทำร้าย ใจคนนั้นจะบอกตัวเองให้มีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาต่างๆนานา  แล้วสุดท้ายใจจะจดจำว่า นี่คือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเอง แล้วต่อๆไปเมื่อมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดขึ้น คนๆนั้นก็จะปลีกตัวออกไปจากการอยู่ร่วมในสถานการณ์นั้นๆหรืออยู่ร่วมแบบมีกำแพงขึ้นป้องกันตัวอยู่ในใจ 

 

กำแพงป้องกันนี้จะถูกกำหนดรูปแบบขึ้นในใจเพื่อควบคุมสิ่งต่างๆในโลกภายนอกให้อยู่ในมือตัวเอง  แล้วแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมที่แต่ละบุคคลใคร่ครวญและมั่นใจว่าจะทำให้ตัวเองมีความปลอดภัยจากโลกภายนอกในสถานการณ์นั้นๆ  ด้วยเขารู้สึกว่ามีอันตรายอยู่ในโลกภายนอก เหตุผลนี้กระมังที่ทำให้คนเป็นอริกับความกลัว


ความจริงโลกภายนอกใบนี้ไม่ได้อันตรายอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป  การเอาความรู้สึกมั่นใจในตัวเราไปผูกอยู่กับโลกภายนอก แล้วสร้างกลไกที่ผลักดันตนให้ออกไปทำสิ่งต่างๆเพื่อให้ปลอดภัยต่อตนเองนั้น  จะทำให้พบกับความทุกข์ได้ด้วยความรู้สึกว่าไม่มีอำนาจที่จะจัดการอะไรกับมันได้เลย  

 


การฝึกให้ใจยอมรับและเรียนรู้เพื่อให้รู้เท่าทันความกลัว  ยอมรับมันตามความเป็นจริง  ต้องทำความรู้จักกับความกลัว จึงจะรู้จักความกลัวตามความเป็นจริงว่าแต่ละรูปแบบนั้นมันสุดโด่งหรือพอดีอย่างไร  รู้จักมันเพื่อมาปรับตัวเองให้อยู่กับมันอย่างเป็นเพื่อนรักได้   การคุกคาม การบังคับ การใช้อำนาจ การโอนอ่อนผ่อนปรน การรู้จักยืดหยุ่น การไม่ทำอะไร การไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ล้วนเป็นรูปแบบของการที่คนพยายามสร้างสมดุลในตัวเองให้ใจไม่หวั่นไหว 

 

การฝึกใจเพื่อให้ตามรู้เท่าทันความรู้สึก  ทำให้ฉันได้ใคร่ครวญและพบว่า การลงมือจัดการกับอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบหรือไม่เห็นด้วย  หรือที่มักมองว่าไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม  ออกมาในรูปบังคับตัวให้ตัดสินใจรวดเร็วแล้วลงมือจัดการทันทีภายใต้บริบทของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยไม่รีรอบ่อยครั้งนั้น  มันเป็นรูปแบบหนึ่งของความกลัวในใจ การไม่ลงมือทำอะไรมันทำให้ฉันมีความหวั่นไหว กลัวความไม่สำเร็จ กลัวความเหนื่อยยากที่ต้องอดหลับอดนอนกับงานที่ไม่เสร็จอยู่ในส่วนลึกของใจ 

 

ด้วยรู้สึกว่าการทำงานในลักษณะอย่างนี้  มันไม่สนุก มันทำให้เกิดความเคร่งเครียด ตลอดเวลามีแต่งาน งาน และงาน  ฉันจึงเคยฝึกผ่อนตัวเอง ปล่อยตัวเองให้กระทำไปตามแรงผลักดันข้างใน  โอนอ่อนผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นปล่อยให้เวลายืดออกไป ไม่รีบร้อนลงมือทำ  ไม่รีบร้อนจัดการ แล้วฉันก็พบว่า การไม่รีบตัดสินใจว่าจะทำอะไร  ก็ยังมีช่องให้ความกลัวผุดขึ้นมา เป็นความกลัวเรื่องงานไม่เสร็จที่ทำให้ความสนุกในการทำงานลดลงเช่นเดียวกัน 

 

ฝึกไปฝึกมาหลายๆรอบเข้า ความหวั่นไหวในใจก็ยังมีความกลัวก็ยังมี   ด้วยเหตุที่ว่าไม่ชอบรอ ไม่ชอบทน ไม่อยากเผชิญหน้ากับความกลัว/ความหวั่นไหวในใจต่อความสำเร็จอีกนั่นแหละสุดท้ายความกลัวอีกนั่นแหละที่ดึงฉันให้หันกลับมาลงเอยกับการกระทำที่คุ้นชินแบบเดิมๆ คือ ตัดสินใจรวดเร็วภายใต้บริบทของสถานการณ์โดยไม่รีรอ   การเรียนรู้ที่ได้จากการเคยรอคอย การทอดเวลา  ทำให้ฉันความอดทนมากขึ้น ยืดหยุ่นกับตัวเองมีมากขึ้น มันให้คำตอบผสมผสานออกมาว่า ใจฉันเริ่มรับเอาความกลัวเป็นเพื่อนใจแล้วค่ะ

 

สิ่งที่ได้จากการไม่ตัดสินใจเร็วด่วนจากการได้ฝึกตัวเองนั้น ทำให้ได้มุมมองเพิ่มขึ้นว่าเหตุปัจจัยต่างๆมันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่  มองเห็นปมปัญหาที่แตกต่างไปจากที่เคยเข้าข้างตัวเองหรือมองความจริงด้านเดียวในแบบที่ไปยึดมั่นว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ  ทำให้รู้จักพิจารณาสิ่งต่างๆรอบด้านมากขึ้น ไม่รีบร้อนตัดสินจากมุมมองแคบๆหรืออคติส่วนตัวเช่นแต่ก่อน   ซึ่งในมุมมองของสัตว์สี่ทิศนั้นฉันพบว่าการได้ฝึกเรียนรู้ที่ผ่านมา ทำให้ฉันเปลี่ยนตัวเองเมื่อเกิดความกลัวจากความเป็นกระทิงมาเป็นหมีมากขึ้นๆได้แล้ว  การเปลี่ยนไปนี้ทำให้ฉันยอมรับความพลาดของตัวเองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆค่ะ

หมายเลขบันทึก: 214015เขียนเมื่อ 4 ตุลาคม 2008 14:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท