ใต้ร่มพระตำหนัก
วังในห้วงคำนึงของบุคคลทั่วไปนั้นคงเป็นสถานที่รโหฐานซึ่งเต็มไปด้วยพระมหาปราสาท
และหมู่พระตำหนักใหญ่น้อยที่วิจิตรงดงามราวเนรมิต
แวดล้อมด้วยพระราชอุทยานที่มีดอกไม้และสิ่งประดับประดาอย่างหรูหรา
แต่ภาพจริงของพระตำหนักสวนจิตรลดากลับเป็นเสมือนหนึ่งหน่วยงานทางเกษตรกรรม
ที่มีกิจกรรมต่างๆ
นานาอันเป็นผลจากพระวิริยะอุตสาหะของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ต้องการให้ราษฎรของพระองค์อยู่ดีกินดี
และคำกล่าวที่ว่า
“ไม่มีพระราชวังที่ไหนในโลกใบนี้เหมือนพระตำหนักสวนจิตรลดาที่เต็มไปด้วยบ่อเลี้ยงปลา
และไร่นาทดลอง อีกทั้งโรงโคนม รวมถึงโรงสีและโรงงานที่หลากหลาย
จึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า
ในประเทศไทยไม่มีช่องว่างระหว่างเกษตรกรและพระมหากษัตริย์
ผู้ที่ทรงงานอย่างหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ด้วยพระองค์เอง”
พระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิต ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร มีอาณาบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เนื้อที่กว่า 400 ไร่
เป็นพระตำหนักที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้น้อยใหญ่พร้อมทั้งมีคูน้ำล้อมรอบทั้ง
4 ด้าน
ยามที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาด้านนอกก็ได้อาศัยความเขียวขจีของหมู่ไม้
และผืนน้ำที่พลิ้วลมเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ในคูน้ำ
และเสียงนกกาบนคาคบไม้เป็นสิ่งที่คลายเครียดในวิถีประจำวัน
และเพิ่มพลังความสดชื่นให้กับตนเองโดยไม่รู้ตัว
แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกให้ทุกคนที่ผ่านไปมาในย่านนั้นได้ทราบว่าที่นี่คือที่ประทับของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยทั้งผอง
ก็คือธงมหาราชสีเหลืองอร่ามที่โบกสะบัดอยู่บนยอดเสาเหนือพระตำหนักใจกลางพระราชวังแห่งนี้
พระตำหนักสวนจิตรฯสร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งถือเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิต
จวบจนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์คือนักประพันธ์
ฉะนั้นพระราชอัธยาศัยของพระองค์ท่านจึงโปรดการประทับในที่เงียบสงัดเช่นเดียวกับนักเขียนทั้งหลาย
ในปี 2456
จึงโปรดให้ใช้เงินพระคลังข้างที่สร้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐานขึ้น ณ
บริเวณที่เรียกกันว่า “ทุ่งส้มป่อย”
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ต้องพระราชอัธยาศัยยิ่งนัก
ชื่อของพระตำหนักนั้นมาจากชื่อพระตำหนักเดิมในวังปารุสกวัน
แต่มาเพิ่มสร้อยว่า “รโหฐาน” เข้าไปรวมเป็น “พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน”
ทั้งนี้เพื่อเน้นพระราชประสงค์ให้พระตำหนักแห่งนี้เป็นที่เงียบสงัดสำหรับทรงพระราชนิพนธ์หนังสือต่างๆ
และเป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์ที่ไม่ใช่ท้องพระโรงที่ใช้ในการพระราชพิธีอย่างพระบรมมหาราชวัง
สวนจิตรลดา...ในวันนี้
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นการถาวร
และด้วยความสนพระราชหฤทัยในทุกข์สุขของราษฎรจึงได้พระราชทานเนื้อที่ส่วนหนึ่งของสวนจิตรลดา
จัดตั้งเป็นโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น
ที่มีทั้งกลุ่มงานอุตสาหกรรม กลุ่มงานเกี่ยวกับการเกษตร
และกลุ่มงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
เหนืออื่นใดก็เพื่อบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ราษฎรของพระองค์
นอกจากนี้แล้วภายในเขตพระราชฐานแห่งนี้ยังมีโรงเรียนจิตรลดา
ที่มีจุดประสงค์เมื่อแรกสร้างนั้นเพื่อให้เป็นโรงเรียนสำหรับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
พร้อมทั้งโอรสธิดาของพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงบุตรธิดาของข้าราชบริพาร
ในปี 2508 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำลองแบบเรือนต้น
อันเป็นเรือนไทยที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงสร้างไว้ในบริเวณของพระที่นั่งอัมพรสถาน
มาสร้างไว้ในสวนจิตรลดาอีกหลังหนึ่ง
เพื่อเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองแบบไทยในคราวที่มีพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศมาเยือน
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาดุสิดาลัย
สำหรับใช้เป็นสถานที่ประชุมในโอกาสต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะใช้เป็นสถานที่สำหรับเสด็จออกให้ปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทุกปี
- โรงโคนมสวนจิตรลดา
จากประตูทางเข้าฝั่งถนนศรีอยุธยา
เมื่อก้าวผ่านพ้นประตูวังเข้ามาสิ่งที่จะเห็นสิ่งแรกนั้นก็คือ
โรงโคนมสวนจิตรลดา ซึ่งก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ 12 มกราคม 2505
เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การเลี้ยงโคนมโดยสาธิตให้เป็นตัวอย่างแก่เกษตรกร
รวมถึงเพื่อศึกษาค้นคว้าและทดลองเทคนิคการเลี้ยงโคนมแผนใหม่ที่มีประสิทธิภาพจากนั้นจึงเผยแพร่ไปสู่เกษตรกรให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
โดยครั้งแรกได้มีผู้ถวายโคเพศเมีย 5 ตัว เพศผู้ 1 ตัว
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โครงการส่วนพระองค์ฯ
จัดการเลี้ยงโคร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์
และจำหน่ายนมสดที่รีดได้แก่สมาชิกของโรงโคนมสวนจิตรลดา
ทั้งยังพระราชทานลูกวัวเพศผู้เป็นวัวพันธุ์
และแม่โคที่คัดออกแก่ผู้ที่สนใจไปหัดรีดนม
ปัจจุบันนี้โรงโคนมสวนจิตรลดาเลี้ยงโคประมาณ 40 ตัว
- โรงนมผงสวนดุสิต
ในปี 2512
เกิดภาวะนมสดล้นตลาด สมาชิกผู้เลี้ยงโคนมได้ทูลเกล้าฯ
ถวายฎีกาให้ทรงช่วยเหลือ จึงได้ทรงจัดตั้งโรงงานนมผงขึ้น
พระราชทานชื่อว่า “โรงนมผงสวนดุสิต”
เพื่อผลิตนมผงจากนมสดของเกษตรกรสมาชิกผู้เลี้ยงโคนม
นมผงของที่นี่เป็นนมผงที่มีคุณภาพและราคาถูก
พระราชดำริในครั้งแรกเมื่อตั้งโรงนมผงแห่งนี้คือ
เพื่อเป็นโรงงานตัวอย่างให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจได้มาเห็นและศึกษาวิธีการทำนมผง
ซึ่งโรงงานแห่งนี้ใช้เงินเป็นค่าก่อสร้างและค่าอุปกรณ์เป็นเงินที่ต่ำมาก
สามารถที่จะนำไปเป็นแบบอย่างได้ง่าย
โรงนมยูเอชทีจิตรลดา
ต้นปี 2546
เกิดภาวะนมสดล้นตลาดขึ้นอีกครั้ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงนมยูเอชทีแห่งนี้ขึ้นเพื่อรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร
มาแปรรูปเป็นนมสดยูเอชที
และนั่นคือที่มาของโรงนมยูเอชทีจิตรลดา
โรงนมยูเอชทีสร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ในการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
และยังทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆ
เพื่อแก้ไขปัญหานมสดล้นตลาดอันเป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่เนืองๆ
ที่สำคัญ
โรงงานแห่งนี้จะผลิตนมสดพร้อมดื่มที่มีคุณภาพโดยไม่เน้นการผลิตเพื่อการพาณิชย์และไม่แสวงหาผลกำไรจากการดำเนินงาน
เพื่อผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และผู้ที่อยู่ห่างไกล
โรงนมเม็ดสวนดุสิต
ปี 2527
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริให้ปรับปรุงการจัดทำนมอัดเม็ดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่เคยทดลองผลิตครั้งแรกเมื่อปี
2512 แล้ว ซึ่งมีอุปสรรคทางเทคนิคทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้
ปัจจุบันโรงนมอัดเม็ดแห่งนี้มีเครื่องตอกเม็ดนม 4 เครื่อง
เครื่องบรรจุลงถุง 2 เครื่อง สามารถผลิตนมอัดเม็ดได้วันละ 7,000 –
12,000 ถุง ถุงหนึ่งบรรจุ 20 เม็ด ปี 2532
เริ่มการผลิตนมเม็ดช็อกโกแลต ปี 2539 เริ่มผลิตนมเม็ดรสกาแฟ
เรื่อยมาจนถึงปี 2541
จึงปรับปรุงคุณภาพจนสามารถผลิตนมเม็ดสำหรับเลี้ยงสัตว์ได้
ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปี 2544
มีการปรับปรุงและขยายพื้นที่โรงนมอัดเม็ด
ทำให้มีพื้นที่กว้างขึ้นพอเหมาะกับการขยายตัวของการผลิตต่างๆ
ทั้งยังสามารถรองรับการฝึกงานของนิสิตนักศึกษา
และผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชม ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
- โรงเนยแข็งสวนจิตรลดา
ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 5
รอบ เมื่อปี 2530 โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตเนยแข็งเพื่อการค้นคว้าทดลองและส่งเสริมแนะนำเป็นอาชีพต่อไป
โดยได้รับความช่วยเหลือด้านเครื่องมือและการฝึกอบรมในการผลิตเนยแข็งจากประเทศเนเธอร์แลนด์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ได้พระราชทานชื่อเนยแข็งว่า “เนยแข็งมหามงคล”
ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีผลิตภัณฑ์จากนมหลากหลายชนิด เช่น
เนยแข็งปรุงแต่ง นมปราศจากไขมัน นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม เนยสด โยเกิร์ต
นมข้นหวาน และไอศครีม
ในปี 2542
เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5
ธันวาคม 2542
โรงเนยแข็งได้สร้างอาคารหลังใหม่เชื่อมต่อกับอาคารหลังเดิมเพื่อขยายพื้นที่ในการผลิตให้กว้างขึ้น
- นาข้าวทดลอง
ปี 2504
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กรมการข้าวจัดทำนาทดลองขึ้นเพื่อปลูกข้าวพันธุ์ต่างๆ
ในปีนั้นทรงขับควายเหล็กและทรงหว่านข้าวด้วยพระองค์เอง
ซึ่งทางราชการได้ขอพระราชทานพันธุ์ข้าวเปลือกที่ปลูกได้ส่วนหนึ่งไปใช้เป็นข้าวในพระราชพิธีพืชมงคลทุกปีเสมอมา
ทั้งยังเป็นข้าวที่แจกให้แก่ชาวนาและเกษตรกรที่มาร่วมงาน ในกาลต่อมา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาแรกนาหว่านข้าวในแปลงนาทดลองต่อท้ายจากพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นประจำทุกปีจวบจนปัจจุบันนี้
- โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2514 เนื่องจากในปีนั้นได้มีผู้น้อมเกล้าฯ
ถวายเครื่องสีข้าวแบบต่างๆ ณ
วันนี้โรงสีข้าวได้ใช้เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก สีได้ครั้งละ 1 เกวียน
และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างยุ้งฉางเก็บข้าวแบบต่างๆ
รวมทั้งยุ้งฉางข้าวแบบสหกรณ์
ซึ่งขณะนี้ได้ดัดแปลงให้สามารถนำข้าวเปลือกเข้า
และออกจากยุ้งไปสู่โรงสีโดยที่ไม่ต้องมีคนแบกขน
สำหรับโรงสีแห่งนี้มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อศึกษาข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับการเก็บรักษาข้าวและการสีข้าวเพื่อให้ได้ผลดีมากที่สุด
โดยที่ทรงตระหนักดีว่าอาชีพการทำนานั้นคืออาชีพหลักของชาวไทย
และเมืองก็เปรียบได้กับห้องครัวของโลกด้วย
- โรงบดแกลบ
ปี 2518
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างโรงบดแกลบแล้วอัดให้เป็นเชื้อเพลิงแท่งและทดลองเผาแกลบอัดแท่งให้เป็นถ่านได้ครั้งแรกเมื่อปี
2529 นอกจากนี้ยังได้ผลิตแกลบบดผสมปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยคอกชนิดต่างๆ
จำหน่ายซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก
ด้วยพระอัจฉริยภาพทรงค้นพบว่าแกลบที่อัดแล้วจะไม่สามารถรักษาเป็นแท่งอยู่ได้เมื่อถูกน้ำหรือฝนจะแปรสภาพเป็นแกลบบดเช่นเดิม
แต่เมื่อนำแกลบที่อัดเป็นแท่งแล้วไปเผาเป็นถ่านแม้โดนน้ำก็ยังสามารถรักษาสภาพเดิมอยู่ได้
- โรงน้ำผลไม้สวนจิตรลดา
ปี 2527
โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาได้ผลิตน้ำส้มคั้นและน้ำอ้อยพาสเจอไรซ์
ตามแนวพระราชดำริ
โดยใช้เครื่องพาสเจอไรซ์นมสดเดิมซึ่งมีอายุการใช้งานเกือบ 10 ปี
เป็นโครงการแนะนำชาวไร่ส้ม และไร่อ้อย
เพื่อแก้ไขอุปสรรคและปัญหาทางด้านการตลาดของส้มและอ้อย
นอกจากนี้แล้วโรงงานแห่งนี้ยังทำการผลิตน้ำกระเจี๊ยบพาสเจอไรซ์ออกสู่ตลาดเป็นโครงการแนะนำ
-โรงน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องสวนจิตรลดา
ปี 2535
มีพระราชดำริให้ก่อสร้างโรงน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง
เพื่อเป็นโรงงานต้นแบบ และครบวงจรของการผลิตน้ำผลไม้ อันได้แก่
การผลิตน้ำผลไม้แบบเข้มข้น น้ำผลไม้แบบพาสเจอไรซ์น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง
เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ
สามารถเข้ามาศึกษานำความรู้ในการผลิตน้ำผลไม้แต่ละชนิดไปใช้ประโยชน์ต่อไป
-โรงผลิตภัณฑ์อบแห้ง
ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี
2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเครื่องอบผลไม้แห้ง
มาใช้ในโครงการส่วนพระองค์
โดยที่ในระยะแรกได้ผลิตกระเทียมอบแห้งออกมาจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์แรกของโครงการ
ต่อมาจึงได้ทดลองอบผลไม้อื่นๆ เช่น กระเจี๊ยบเสวย
ซึ่งเป็นผลผลิตจากสวนปทุมฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2542
มีผู้น้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องอบผักและผลไม้แห้ง
โดยที่ทางโครงการส่วนพระองค์ฯ
ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารผลิตภัณฑ์อบแห้งแล้วเสร็จ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ
ทรงเปิดในวันแรกนาขวัญ 15 พฤษภาคม 2543
ปี 2544
โรงงานผลิตภัณฑ์อบแห้ง มีกล้วยตาก และผลไม้ชนิดต่างๆ
ที่เหลือจากการบรรจุ
เนื่องจากไม่ได้ขนาดไม่สามารถบรรจุลงกล่องจำหน่ายได้
ทางโรงงานจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เบเกอรี่จากผลไม้อบแห้งที่เหลือเหล่านั้นมาทดลองผลิตเป็นคุกกี้ผลไม้รวมบรรจุกล่องออกจำหน่ายในเบื้องต้น
ต่อจากนั้นมาโรงงานได้ผลิตคุกกี้ชนิดต่าง ๆ ออกจำหน่ายเพิ่มขึ้น อาทิ
คอฟฟี่เค้ก เค้กผลไม้รวม และเคกกล้วยหอม เป็นต้น
เรื่อยมาจนปี 2547
โรงงานผลิตภัณฑ์อบแห้งได้ขยายห้องผลิตขนมปังเพิ่มขึ้นอีก 1 ห้อง
โดยทดลองผลิตขนมปังสอดไส้รสต่างๆ รวมถึงพาย
ออกจำหน่ายในเวลาต่อมา
-โรงงานผลิตภัณฑ์น้ำผึ้ง
เป็นโครงการผลิตน้ำผึ้งบรรจุหลอดพลาสติก
และบรรจุขวดแก้วขนาดต่างๆ
โดยที่ได้รับความร่วมมือจากสหกรณ์ผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือ
จังหวัดเชียงใหม่
เป็นผึ้งที่เกษตรกรเลี้ยงไว้เพื่อใช้ในการผสมเกสรดอกไม้
ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นดอกลำไย นอกจากนั้นก็เป็นต้นผลไม้ชนิดอื่นๆ
เพื่อให้ไม้ผลเหล่านั้นติดผลผลิตสูง
น้ำผึ้งที่ส่งมาบรรจุขวดเป็นน้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย
มีกลิ่นหอมรสหวานอร่อย ไม่เป็นผลึก เป็นที่นิยมของคนโดยทั่วไป ในปี
2547
โครงการได้สร้างอาคารเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์โดยใช้ร่วมกับโรงเพาะเห็ด
-โรงหล่อเทียนหลวงสวนจิตรลดา
ปี 2529
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างโรงหล่อเทียนหลวงสวนจิตรลดาขึ้น
เพื่อใช้ผลิตเทียนหลวงที่ใช้ในการพระราชพิธีของสำนักพระราชวังแทนการฟั่นเทียนด้วยมืออย่างโบราณ
เพื่อให้ได้เทียนที่มีคุณภาพที่ใช้ในการพระราชพิธีต่างๆ ในราชสำนัก
ตลอดจนฝึกหัดบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อลดงบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อ
งานทดลองผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง
เมื่อปี 2528
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้โครงการส่วนพระองค์ฯ
ทดลองนำเอาแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากอ้อยมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
เพราะในอนาคตอาจจะเกิดภาวะน้ำมันขาดแคลนหรือราคาอ้อยตกต่ำ
การนำเอาอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง
โรงงานแห่งนี้ได้ดำเนินการเรื่อยมาจวบจนปัจจุบันนี้ โดยเมื่อปี 2538
กลุ่มบริษัท สุราทิพย์ ได้น้อมเกล้าฯถวายระบบผลิตแอลกอฮอล์ 95 %
พร้อมอุปกรณ์อื่นๆ
รวมถึงอาคารใหม่เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ
50 ปี ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้สามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้ถึง 99.5 %
โดยที่มีวัตถุดิบหลักในการหมักคือ กากน้ำตาล
แอลกอฮอลที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ , ดีโซฮอล์
นอกจากนั้นโรงแอลกอฮอล์ยังได้ผลิตภัณฑ์จากแอลกอฮอล์อีกหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็น
เจลล้างมือ สเปย์ฉีดเท้า
น้ำหอม โลชั่นกันยุง
เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมหล่อเลี้ยงหน่วยงานอีกทางหนึ่ง
โรงปุ๋ยอินทรีย์
มีพระราชดำริให้เริ่มโครงการเมื่อปี 2528
เพื่อทำการศึกษากระบวนการผลิตปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุที่เหลือใช้จากการเกษตร
โดยการใช้น้ำกากส่า
ซึ่งเป็นน้ำทิ้งจากโรงงานผลิตแอลกอฮอล์เป็นตัวเร่งในกระบวนการย่อยสลาย
นอกจากนี้
ทางโรงงานยังศึกษาสายพันธุ์และกรรมวิธีการผลิตจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายเศษวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยหมัก
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาปุ๋ยหมักชนิดต่างๆ ขึ้น
เพื่อเพิ่มความหลากหลายและความสะดวกให้แก่ผู้ต้องการใช้ปุ๋ยหมัก คือ
ปุ๋ยอัดเม็ด
โรงเพาะเห็ด
2531
มีพระราชดำริให้จัดสร้างโรงเพาะเห็ดชนิดต่างๆ
ขึ้นด้วยเศษวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อปลูกเห็ดชนิดต่างๆ เช่น
เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดเป๋าฮื้อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดหลินจือ
นอกจากนี้ยังได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้นำเอาเศษวัสดุที่เหลือใช้จากการเพาะเห็ดมาทำเป็นปุ๋ยหมักอีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ในปี 2538 กระแสการบริโภคเห็ดหลินจือมีมากขึ้น
โรงเพาะเห็ดจึงต้องขยายการผลิต
และมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
2539
โรงงานได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือเป็นแคปซูลขึ้นเพื่อง่ายต่อการบริโภคและมีการสกัดเห็ดหลินจือเพื่อบรรจุเป็นแคปซูล
และในปี 2543
ได้เริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชงพร้อมดื่มจากสมุนไพรชนิดต่างๆ
เพื่อสะดวกในการบริโภค และในปีต่อมาคือปี 2544
ได้มีการพัฒนาเป็นแกรนูลอัดเม็ดเพื่อสะดวกสำหรับการพกพา
โรงอาหารปลาและสาหร่ายเกลียวทอง
เริ่มการครั้งแรกเมื่อปี
2529 โดยได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำจากภาควิชาจุลชีววิทยา
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
รวมถึงสถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ
โครงการส่วนพระองค์ฯ
ได้ทำการศึกษาวิจัยการผลิตอาหารปลาตามแนวพระราชดำริทั้งแบบจมน้ำและแบบที่ลอยน้ำ
จากการศึกษาพบว่า
อาหารปลาที่มีส่วนผสมของสาหร่ายเกลียวทองจะมีผลทำให้ปลาแฟนซีคราปเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
มีการเจริญวัยในการสืบพันธุ์เร็วขึ้นด้วย
รวมทั้งสีสันและความสวยงามของปลาก็มีมากกว่าที่เลี้ยงจากอาหารปลาชนิดธรรมดา
ปี 2545
โรงอาหารปลาและสาหร่ายเกลียวทองได้ก่อสร้างอ่างซีเมนต์ขึ้นอีกจำนวน 6
อ่าง
รวมถึงสร้างห้องปฏิบัติการแปรรูปผลิตภัณฑ์สาหร่ายเกลียวทองเพิ่มขึ้น
ได้แก่ ห้องเพาะเลี้ยงเชื้อสาหร่ายเกลียวทอง ห้องตู้อบความร้อน
ห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบผสมสาหร่ายเกลียวทอง
ห้องทอดข้าวเกรียบสาหร่ายเกลียวทอง
ห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์เยลลีผสมสาหร่ายเกลียวทอง
และห้องบรรจุแคปซูลสาหร่ายเกลียวทอง
ปี 2546
เนื่องจากการขยายงานเพิ่มมากขึ้น
จึงขออนุมัติสร้างบ่อสาหร่ายเกลียวทองเพิ่มขึ้นจำนวน 8
บ่อบริเวณที่ใกล้เคียงกับคลังผลิตภัณฑ์
เพื่อศึกษาและพัฒนาการเลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น
รวมทั้งช่วยเพิ่มผลผลิตของสาหร่ายเกลียวทองให้สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างเพียงพอ
และเพื่อการค้นคว้าวิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ๆ อีกด้วย
โรงกระถางผักตบชวา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการนำเอาผักตบชวาซึ่งเป็นวัชพืชไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ นอกเหนือจากการทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์และเชื้อเพลิงแล้ว
ยังนำผักตบชวาไปทำเป็นกระถางใส่ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นปุ๋ยไปในตัวเองด้วย
ซึ่งมีอายุในการใช้งานประมาณ 3-6 เดือน
โครงการส่วนพระองค์ฯได้ทดลองปรับปรุงคุณภาพของกระถางผักตบชวาใน พ.ศ.
2540 ตามแนวพระราชดำริ สืบเนื่องจากที่เคยผลิตในครั้งแรกเมื่อปี 2532
โดยที่มีขอบเขตของการศึกษา
คือการทำกระถางจากผักตบชวาเป็นกระถางชนิดพิเศษ
เมื่อใช้ปลูกแทนกระถางดินเผาหรือถุงพลาสติกจนพืชเจริญเติบโตควรแก่การนำไปปลูกลงดินแล้ว
สามารถนำไปปลูกลงดินได้เลยโดยที่ไม่ต้องทุบกระถางทิ้ง
กระถางจากผักตบชวายังสามารถย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้อีกด้วย
ธนาคารพืชพรรณ
โครงการส่วนพระองค์ฯ
ได้สนองแนวพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี มาตั้งแต่ปี 2535 และในปี 2536
คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่โครงการส่วนพระองค์ฯ
ในโครงการนี้เพื่อจัดสร้างธนาคารพืชพรรณ
เป็นที่เก็บรวบรวมและรักษาพันธุกรรมพืชทั้งในรูปของเมล็ดและเนื้อเยื่อ
โดยที่มีหน่วยงานปฏิบัติการเมล็ดพันธุ์พืช
ห้องเย็นเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช
หน่วยปฏิบัติการเก็บรักษาพันธุ์พืชโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
หน่วยปฏิบัติการกักกันพืช และสุดท้ายคือหน่วยปฏิบัติการชีวโมเลกุลพืช
เพื่อศึกษาประเมินพันธุกรรมพืชด้านชีวเคมี
ธนาคารข้อมูลพันธุกรรมพืช
การดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ที่ได้พระราชดำริว่า
“การทำศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมพืชโดยมีคอมพิวเตอร์นั้น
ควรมีโปรแกรมที่สามารถแสดงลักษณะของพืชออกมาเป็นสีได้
เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงและค้นคว้าของผู้ที่สนใจ”
โครงการส่วนพระองค์จึงได้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารข้อมูลพันธุกรรมพืชเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาพันธุ์พืช
โดยจัดทำข้อมูลด้านการเก็บรวบรวม การประเมินพันธุกรรม การอนุรักษ์
และการใช้ประโยชน์ อีกทั้งดำเนินการจัดทำข้อมูลพันธุกรรมพืช
เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกแก่เยาวชนให้เห็นความงดงาม
น่าสนใจจนเกิดความปิติที่จะทำการศึกษาอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป
บ้านพลังงานแสงอาทิตย์
ไปเมื่อปี 2539
กรมการพลังงานทหาร ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย บ้านพลังงานแสงอาทิตย์
พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ
เพื่อทรงใช้ในการทดลองเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์
ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนในอนาคตเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่ราษฎรต่อไป
กลุ่มงานหัตถศิลป์
ในสวนจิตรลดา
นอกจากโรงฝึกศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถแล้วครงการส่วนพระองค์ฯ
ก็มีกลุ่มงานหัตถศิลป์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยแบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ
ดังนี้
โครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระดาษสา
โครงการครั้งแรกเมื่อปี 2536
โดยการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระดาษสาเป็นดอกไม้นานาชนิด
และเป็นของชำร่วยที่สวยงาม
โครงการนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินงาน
เพื่อดัดแปลงผลิตภัณฑ์จากกระดาษสาในรูปแบบเดียวกันเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง
ๆ ตามความเหมาะสมและความต้องการของท้องตลาด
โดยใช้วัสดุที่เหลือใช้จากกระดาษสาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จนครบวงจร
เพื่ออนุรักษ์ศิลปะความเป็นไทยจากผลิตภัณฑ์กระดาษสา
นอกจากนี้แล้วยังได้มีการนำปอสาไทยมาประยุกต์ผลิตเป็นกระดาษสาแบบญี่ปุ่นด้วย
โดยผ่านการต้มและฟอกขาว
ใส่สารยูรามีนเพื่อให้เยื่อกระดาษกระจายตัวและเพิ่มความเหนียวและความเงาให้กระดาษสา
ใช้ตะแกรงช้อนแบบญี่ปุ่นจะได้กระดาษสาแบบญี่ปุ่นที่มีความบางเรียบ
สีสันสดใส
เหมาะกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องเขียนและงานบาติก
งานบาติกและงานสกรีน
เป็นงานที่สร้างสีสันและความงดงามให้แก่กระดาษสา
วิธีการทำบาติกของโครงการส่วนพระองค์ฯใช้กรรมวิธีแบบโบราณ
โดยการใช้ขี้ผึ้งและพาราฟีนผสมเข้าด้วยกันในอัตราส่วน 1/1
โดยอาศัยความร้อน ใช้เครื่องมือที่เรียกว่าชานติ้ง
จุ่มลงในน้ำเทียนให้น้ำเทียนเกาะติดกับชานติ้ง
จากนั้นจึงเขียนลายลงบนกระดาษสาเป็นลวดลายต่างๆ ตามความต้องการ
แล้วจึงนำไปลงสีด้วยพู่กัน ส่วนงานสกรีน คือ งานที่พิมพ์ลวดลายต่างๆ
ลงบนกระดาษสา
แล้วจึงใช้สีและยางปาดพิมพ์ผ่านแผ่นผ้าที่ต้องการให้เกิดลวดลาย
งานเครื่องหอมและของชำร่วย
งานหัตถศิลป์อีกแขนงหนึ่งที่จัดทำขึ้นในโครงการส่วนพระองค์ฯ
เพื่อยึดตามแนวทางพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี
ในด้านการอนุรักษ์งานหัตถศิลป์ของไทยแต่โบราณให้คงอยู่สืบไป
โดยยึดหลักความเหมาะสมและความประหยัดตามภาวะเศรษฐกิจ
ปัจจุบันนี้มีงานทั้งหมด 7 ชนิด คือ น้ำอบไทยสวนจิตรลดา
น้ำปรุงสวนจิตรลดา ยาหม่องสวนจิตรลดา ยาหม่องน้ำสวนจิตรลดา
พิมเสนน้ำสวนจิตรลดา ยาดมส้มโอมือสวนจิตรลดาออดิโคโลญ
งานเกล็ดปลาและงานบุหงา
งานหัตถศิลป์ที่นำเอาเกล็ดปลาน้ำจืด รวมถึงปลาน้ำเค็มชนิดต่างๆ
มาล้างให้สะอาดด้วยผงซักฟอกและปรับความหอมและนุ่มด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่ม
จากนั้นจึงนำไปย้อมสีให้ได้ตามความต้องการ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง
จึงนำมาประดิษฐ์เป็นกลีบดอกไม้ชนิดต่างๆ
ส่วนบุหงาคืองานที่นำเอากลีบดอกไม้ชนิดต่างๆ มาตากให้แห้ง
จากนั้นก็อบและร่ำให้หอมด้วยน้ำปรุงและน้ำหอม
แล้วจึงนำใบยางที่ตากแห้งแล้วมาประกบทั้งสองข้างยึดให้ติดกันด้วยกาวลาเทกซ์ชนิดใสตัดแต่งให้เป็นรูปบุหงา
พัดโบก ผีเสื้อ
หรือรูปดอกไม้ตามความต้องการนี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ซึ่งเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้มาตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า
60 ปี
เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขและเป็นต้นแบบแห่งความพอเพียงให้แก่พสกนิกรของพระองค์
แม้พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
หรือที่เรียกกันแต่แรกสร้างว่าพระตำหนักกลางทุ่งส้มป่อยจะไม่โอ่อ่าโอฬารเหมือนดังพระราชวังของพระประมุขแห่งแว่นแคว้นอื่นก็ตาม
แต่พระตำหนักแห่งนี้ก็สวยงามร่มเย็นสมกับเป็นสถานที่แห่งศูนย์รวมใจของปวงชนชาวไทย
แต่เหนืออื่นใด กิจกรรมต่างๆ
ที่เกิดขึ้นภายในเขตพระราชฐานแห่งนี้จะเป็นเสมือนหนึ่งปฐมบทแรกแห่งการพัฒนาที่จะกระจายไปสู่ทุกภูมิภาคเพื่อนำพาความเจริญและอยู่ดีกินดีมาสู่พสกนิกรชาวไทยตราบนานเท่านานสำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าเยี่ยมชมโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ต้องทำหนังสือขออนุญาตเข้าเยี่ยมชมถึงผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
(เนื่องจากสวนจิตรลดาเป็นเขตพระราชฐานอันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2281-1034 หรือ
0-2281-1034
โครงการหลวง...หนึ่งในพระราชดำริ
ณ วันนี้ โครงการหลวงคงเป็นชื่อที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก
เพราะโครงการหลวงคือโครงการส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว
เพื่อช่วยเหลือราษฎรชาวไทยภูเขาให้มีอาชีพสร้างรายได้
สิ่งที่โครงการหลวงทำเพื่อชาวเขาให้อยู่ดีกินดี ก็คือ
การสนับสนุนให้ชาวเขาปลูกพืชผักเมืองหนาว
และนำเอาผลผลิตที่ได้มาขายสู่ท้องตลาด
โดยที่โครงการหลวงทำหน้าที่ส่งเสริมการปลูกและดูแลทางด้านการตลาดให้
ซึ่งผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงทั้งหมดจะอยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้า
“ดอยคำ”
เมื่อครั้งแรกที่โครงการไปตั้งสถานีเกษตรที่สูงที่ดอยอ่างขาง
เชียงใหม่ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการฯ
ที่ทรงไปพบลูกท้อพันธุ์พื้นเมืองของอ่างขางที่มีรสชาติดีมาก
จึงทรงนำกลับมาที่กรุงเทพฯ ด้วย และทรงทำเป็นผลไม้ลอยแก้วบรรจุกระป๋อง
คนที่ได้รับประทานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยกว่าพีชฝรั่ง
ทำให้ทรงได้รับแรงบันดาลใจทรงหอบกระป๋องเปล่าและเครื่องปิดกระป๋องพร้อมน้ำตาลขึ้นดอยอ่างขาง
แล้วทำท้อลอยแก้วลงมาขาย ขายดิบขายดีมากจนปีต่อมาจึงได้ตั้งโรงงานขึ้น
กลายเป็นโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปแห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถึงวันนี้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสัญลักษณ์ดอยคำ มีมากมายกว่า
100 รายการทั้งแยมรูปแบบต่างๆ น้ำผลไม้สดนานาชนิด ผลไม้ลอยแก้ว
ผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ และอื่นๆ อีกมากมาย
ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นของฝากของขวัญในโอกาสต่างๆ
ท่องเที่ยว...บนดอยคำ
ถนนเส้นที่พาดผ่านโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ณ บ้านขุนกลาง
ท่ามกลางสายหมอกในฤดูหนาวเช่นนี้เป็นเส้นทางที่งดงามยิ่ง
นอกจากบรรยากาศรอบข้างจะเป็นใจแล้ว
แปลงดอกไม้เมืองหนาวที่ชูช่ออวดความงามสองข้างทางก็น่าตื่นใจไม่น้อยโดยเฉพาะดอกเบญจมาศที่เยอะแยะไปหมดทั้งสีม่วง
สีเหลือง และสีขาว
ว่ากันว่าเบญจมาศที่นี่ทำเงินให้แก่เกษตรกรผู้เป็นเจ้าของปีละกว่าแสนบาท
จากบ้านขุนกลางสู่ขุนห้วยแห้ง อีกพื้นที่หนึ่งของโครงการหลวง
เป็นพื้นที่ที่มีลิลลี่นานาชนิดชูดอกอวดความงดงามรอการมาเยือนของผู้คนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์คาซาบลังกาสีขาวสะอาดตา
หรือสตาร์เกเซอร์สีชมพูใสสดที่มีฟอร์มดอกใหญ่แถมยังส่งกลิ่นหอมชื่นใจ
ที่นี่ก็มีให้สัมผัส
เลยจากที่นี
เรารักในหลวง ใครที่ไม่รู้ว่าท่านทรงทำอะไรเพื่อเราบ้าง น่าจะได้เข้าชม โดยเฉพาะเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่ๆที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีคุณธรรม มีสติ มีเหตุผล ที่กำลังจะเติบโตเป็นทรัพยากรบุคคล เป็นพลังในการสร้างสรรสิ่งดีๆให้แก่ประเทศไทยในอนาคต น่าจะได้มีโอกาสเข้าชมทุกคน
ขอบอกตามตรงเลยครับ ถ้าคณะรัฐบวย รัฐบาลใหนสักชุดจะมองเห็นโครงการต่างๆ ที่ในหลวงท่านทำไว้ ประชาชนคนไทยจะมีกินมีใช้ทันทีครับ [ถ้าคณะรัฐบาลไม่โกงกิน] เช่น โครงการในสวนจิตรลดา โครงใดโครงการหนึ่งทำให้ตำบล อำเภอ จังหวัด ละ 1 แห่ง เท่านั้น ประเทศไทยก็ไปรอด ปลอดภัยแล้วครับ ท่านรัฐบาล