ดินดี ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีมาก

 

ราคาของปุ๋ยเคมีปรับตัวสูงขึ้น จนส่งผลกระทบทางด้านลบต่อเกษตรกรทั่วประเทศ  เพราะบางทีเกษตรกรก็มีความหวังว่าจะลืมตาอ้าปากได้บ้างกับราคาผลิตผลที่เพิ่มขึ้นมา แต่ก็ต้องก้มหน้าทนรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นโดยปริยาย เพราะว่าราคาของผลผลิตเพิ่มจริง แต่ต้นทุนก็ยังเพิ่มตามขึ้นด้วยเหมือนกัน จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรยังไม่มีความแตกต่างในด้านบวกดีขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมเลย
 
ทำอย่างไร? จึงจะใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยที่สุด เพราะปุ๋ยเคมีคือปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง และถ้าจะหยุดใช้ไปในทันทีทันใดเลยก็คงจะไม่ได้ เพราะสภาพพื้นฐานของดินส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม เพราะได้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่มาอย่างยาวนาน และส่วนใหญ่จะไม่มีการคืนแร่ธาตุอาหารเหล่านั้นกลับคืนไปให้แก่ดินอย่างยุติธรรมเลย คือเอาแต่ผลผลิตซึ่งมีปริมาณอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายติดออกไปด้วยเป็นตัน ๆ แต่ใส่กลับคืนเข้ามาเพียง 50 – 100 กิโลกรัม  ซึ่งเป็นการคืนอย่างขาดสมดุล ส่งผลให้ปริมาณแร่ธาตุอาหารในดินไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้และสะสมในด้านการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตได้อย่างเพียงพอ
 
ดังนั้น ถ้ากระบวนการผลิตของเกษตรกร มีการเติมอินทรีย์วัตถุอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยทำให้โครงสร้างและปริมาณอาหารในดินจะไม่ลดน้อยถอยลงไปมาก และควรมีการตรวจวัดค่าความเป็นกรด-ด่างของดินให้อยู่ระหว่าง 6.0 – 6.5 อยู่เสมอหรืออาจจะใช้           ภูไมท์ซัลเฟตซึ่งมีปริมาณแร่ธาตุหลักอยู่หนึ่งตัวคือ ฟอสฟอรัส และธาตุรองอีกสามตัวคือ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน ซึ่งจะช่วยทำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ (ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเติมเต็มปริมาณธาตุอาหารให้แก่พืชนำไปใช้ในการสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ กิ่ง ก้าน ใบ และผล ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนในอดีต โดยให้ใช้ลดลงมาจากเดิม 50 - 40 % ขึ้นอยู่กับสภาพของดินก็เพียงพอแล้ว จะช่วยทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง

มนตรี   บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ  www.thaigreenagro.com

[นายประจักษ์ ปานอินทร์]

[มนตรี บุญจรัส]

ขอบคุณครับ