วันที่ 19 ก.ย. 51 ผมไปร่วมประชุม คณะกรรมการและอนุกรรมการของสถาบันสร้างเสริมนวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ชื่นใจกับผลงานของสถาบันเล็กๆ แห่งนี้ ที่ผมเคยบันทึกถึงตอนก่อตั้งเมื่อปีที่แล้วไว้ที่นี่
ผู้อำนวยการ สถาบันสร้างเสริมนวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง คือคุณธุวนันท์ พานิชโยทัย เป็นผู้บุกเบิกกิจกรรม KM ของกรมส่งเสริมการเกษตรจนโด่งดัง และได้นำ KM มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการทำงานของสถาบันฯ และในเวลา 1 ปี ก็ได้ผลงานน่าชื่นชม ได้แก่
-
เรื่องข้าว ใช้ยุทธศาสตร์ KM ครูติดแผ่นดินข้าว ซึ่งก็คือปราชญ์ชาวบ้านเรื่องการทำนาข้าวนั่นเอง มีการรวมรวมความรู้เป็นหนังสือเล่มเล็ก "ลดต้นทุนการปลูกข้าว" โดยครูติดแผ่นดิน "ข้าว" มีการจัดทำทำเนียบครูติดแผ่นดินข้าว 2551 ระบบฐานข้อมูลนวัตกรรมข้าว จัดทำ VCD เรื่องการลดต้นทุนการทำนา นำออกทีวี ช่อง 9
-
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ได้ดำเนินการสืบค้น ตรวจสอบ และรวบรวมความรู้จากเกษตรกรและชุมชน ที่จะเกิดประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง รวบรวมได้ 395 เรื่อง ใน 5 สาขา คือ (1) สาขาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน (2) สาขาการผลิต (3) สาขาการแปรรูปและผลิตภัณฑ์ (4) สาขาสถาบันเกษตรกร (5) สาขาปราชญ์เกษตร รวบรวมไว้ในรูปของเอกสาร ยังไม่ได้ขึ้นเว็บ
-
KM พืชยุทธศาสนตร์ของจังหวัด สร้าง "คุณอำนวย" จัดเวที Best Practice ของครูติดแผ่นดิน (ปราชญ์ชาวบ้าน) และจัดเวที ลปรร. ของเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด
-
สภาความร่วมมือเครือข่ายความปลอดภัย และความมั่นคงด้านอาหาร ได้รับเงินสนับสนุนจาก สสส.
-
หลักสูตรการเรียนรู้การผลิตอาหารปลอดภัยและการสร้างสุขภาวะตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับเงินสนับสนุน จาก สสส.
-
โครงการต้นกล้าเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมมือกับมูลนิธิยุวเกษตรกรไทย
แผนการดำเนินการในปี ๒๕๕๒ จะเป็นการดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรมริเริ่มใหม่คือ ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง (ข้าว) ต้นแบบ ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ผมนั่งฟังการประชุมด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเข้าไปร่วมประชุมที่กรมส่งเสริมการเกษตรที่ผมไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมองค์กร จึงได้เรียนรู้หลายด้าน
ผมกลับมาเรียนรู้โดยการอ่านเอกสารต่อที่บ้าน และตั้งคำถามกับตนเองว่า สนพ. ควรมียุทธศาสตร์การทำงานอย่างไร จึงจะเกิดคุณประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างเต็มที่ และ สนพ. ควรใช้เครื่องมือ KM อย่างไร ผมมีข้อสังเกต (ไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด) ดังนี้
- ชื่อ "สถาบันสร้างเสริมนวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง" กว้างกว่ากิจกรรมของกรมส่งเสริมการเกษตร ดังนั้น สนพ. จะมีวิธีการ "ออกสู่ที่กว้าง" อย่างไร เพื่อให้สามารถทำงานได้ประโยชน์กว้างขวาง และมีอิสระในการทำงานมากขึ้นผมคิดว่า สนพ. ยังใช้พลัง ICT น้อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานเป็น "คุณอำนวย" ให้แก่ภาคีในภาคราชการและภาควิชาการ ซึ่งมีทักษะในการใช้ ICT เพื่อทำงานและ ลปรร.
- "ภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง" มีความกว้างขวางกว่าการผลิต ถ้าเกษตรกรผลิตเพื่อขาย ความรู้ที่สำคัญต้องมี ๒ ด้าน คือความรู้ด้านผลิต กับความรู้ด้านตลาด สนพ. ยังแทบไม่ได้แตะความรู้ด้านตลาดเลย
- ที่จริง "ภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนนอกภาคเกษตรด้วย
- ผมรู้สึกว่า (อาจเข้าใจผิด) สนพ. ยังทำงานแบบทำด้วยตนเองมากไป ยังทำงานแบบเชื่อมโยงเครือข่ายน้อยไป คือ สนพ. น่าจะพัฒนาวัฒนธรรมการทำงาน และทักษะการทำงาน แบบที่ตนเองเป็น "คุณอำนวย" ให้มากที่สุด
- การเน้นความรู้ของ "ครูติดแผ่นดิน" และเน้นยกย่องครูติดแผ่นดินน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่จะต้องพัฒนา คือวิธีการผสมผสานระหว่างความรู้ของครูติดแผ่นดิน กับความรู้สมัยใหม่ ซึ่งเครื่องมือคือ KM เป็นการผสมผสานความรู้ด้วยการนำเอาไปปฏิบัติ หรือผ่านการปฏิบัติ โดยเกษตรกร เป็นวงจรยกระดับความรู้ผ่านการปฏิบัติ แล้วนำมา ลปรร. ใน "พื้นที่" ลปรร. ทั้งที่เป็น Face to Face และที่ผ่าน ICT การ ลปรร. ที่สำคัญคือการ ลปรร. ในหมู่เกษตรกรผู้ทดลองนำความรู้ไปใช้ในการผลิตของตน หนุนด้วยครูติดแผ่นดิน และนักส่งเสริมการเกษตร
- ผมคิดว่า สนพ. ยังใช้พลัง ICT น้อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานเป็น "คุณอำนวย" ให้แก่ภาคีในภาคราชการและภาควิชาการ ซึ่งมีทักษะในการใช้ ICT เพื่อทำงานและ ลปรร.
วิจารณ์ พานิช
20 ก.ย. 51