เมื่อรู้ว่าความกลัวไม่ใช่สิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่น่ารังเกียจที่จะต้องจัดการหรือกำจัดมันออกไป มันก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ ฉันว่ามันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะทำให้มันเป็น "ตัวช่วย" หรือ "อุปสรรค" ให้กับชีวิตต่างหาก ขอเพียงเมื่อเกิดความกลัวขึ้นมา แล้วกล้าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับมัน อย่างยอมรับกับตัวเองว่าเราก็คนธรรมดาๆคนหนึ่งที่กลัวเป็น..เหมือนคนอื่นๆ เราจะพบว่าตรงนั้นแหละค่ะคือทางออกจากความกลัว.. โดยการยอมรับและรู้เท่าทันมัน
เมื่อฉันคิดได้อย่างนี้ ฉันก็พบว่าฉันได้ความสุขคืนมาค่ะ เป็นความสุขที่ได้มาจากการยอมรับและรู้เท่าทันใจตัวเอง ตอนที่อ๋อกับคำตอบนี้ฉันยิ้มออกมาได้และบอกกัลยาณมิตรไปว่า รู้เท่าทันแล้วว่าที่ใจไม่ปลอดโปร่งจนคนอื่นรับรู้ได้นั้น มันเกิดจากตัวเองกลัวใจตัวเอง ฉันว่าความรู้สึกกลัวตัวเองนี้ร้ายกว่ากลัวคนอื่นมากนัก ด้วยมันทักมันทายแทบแยกไม่ยอมออกจากใจให้รับรู้ได้
พอรับรู้และจับต้องความกลัวของตัวไว้ได้ และยอมรับมันตามความจริงแท้ของใจ ใจมันก็สุขขึ้นมาแล้ว มันโล่งมันเบาอยู่พอตัว แต่ยังหรอกนะมันยังไม่ผ่อนคลายทั้งหมด เหมือนมันยังต้องเรียนรู้และปล่อยให้ธรรมชาติของใจช่วยสร้างสมดุลให้ สมดุลที่ว่านั้นคือการลงมือฝึกทำว่าจะทำอย่างผ่อนปรนยืดหยุ่นอย่างไรจึงพอดี ที่จะทำให้มองความกลัวเหมือนเพื่อนที่น่ารัก น่าทะนุถนอม ลงมือฝึกไปเรื่อยๆอย่างไรจึงจะอดทนอยู่กับมันได้เมื่อใจมันกลับไปวุ่นวายใหม่ รื้อฟื้นการไม่ยอมรับขึ้นมาใหม่ วนเวียนอยู่ร่ำไป ฝึกต่อไปที่จะกล้าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับมันอย่างยอมรับกับตัวเองว่าเราก็คนธรรมดาๆคนหนึ่งที่กลัวเป็นเหมือนคนอื่นๆยอมรับและรู้เท่าทันมันโดยไม่ให้ความกลัวมาครอบงำตน จนผ่อนคลาย เบาสบายได้ สามารถปล่อยวางความคับแค้นที่เกิดขึ้นในใจได้ รู้สึกได้จริงๆว่าไม่เป็นไร ไม่อึดอัด ไม่เคร่งเครียด
ฉันกำลังหาทางของตัวเองให้ได้แล้วก็พยายามทำกิจกรรมนั้นๆให้ได้ทุกวันคะ เพื่อฝึกให้ใจได้คุ้นชินกับสภาวะที่ผ่อนคลายไปเรื่อยๆ การวางใจให้ถูกจุดได้ วางใจได้ถูกต้องได้ไม่หลงออกนอกเส้นทาง ใจเค้าจะได้ค่อยๆจำได้เองว่าภาวะที่สบายๆผ่อนคลายของตัวเองเป็นยังไง
เมื่อฝึกฝนไปได้บ้างแล้ว ฉันก็เรียนรู้ว่า เมื่อไรก็ตามที่ใจเกิดความกลัว ความรู้สึกหงุดหงิดหรือกังวลมันจะเกิดขึ้นมา แล้วความคิดนั่นแหละก็ไปเติมเสริมแต่ง ความคิดมันวนเวียนไปมาอยู่ในหัวคอยต่อเติม คิดเอง เออเอง เสริมแต่งต่อ ความกลัวจะถูกเสริมแต่งโดยไม่รู้ตัว ทำให้หัวและใจมันหลอมรวมกันจนแยกไม่ออก ความกลัวเล็กๆที่เกิดขึ้น จึงได้แปลงร่างกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ใหญ่มากกกก อารมณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบพายุพัดในระดับทอร์นาโดหรือไต้ฝุ่นได้เลยทีเดียวเชียว และเมื่อภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น เมตตาต่อตัวเองมันไม่เกิด ความผ่อนคลายจะไม่เกิด แล้วกลับทำให้เกิดการเบียดเบียนตัวเองให้เครียด
ทางออกที่จะทำให้เมตตาเกิดขึ้น ไม่เบียดเบียนตัวเอง คือ การมีสติรับรู้และหน่วงตัวเองได้ทันเวลา มีความเร็วพอเพียงที่จะรู้จักความกลัวในรูปแบบต่างๆของตนเอง และรู้ทันว่า ความคิด คือ ต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้ความกลัวเล็กๆกลับกลายเป็นพายุที่รุนแรง นี้คือสิ่งที่ใจต้องวิวัฒน์เพื่อให้ได้จิตสำนึกใหม่ ที่ไม่เบียดเบียนตน เป็นใจที่คอยให้กำลังใจและมองมุมบวกกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว มองสิ่งที่พลาดไปเป็นบทเรียนรู้ที่ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้การแก้ปัญหา รับรู้ว่า ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้ทำร้ายและเบียดเบียนตนด้วยความเสียใจ
หากจะพูดแบบใช้ธรรมะก็ต้องกล่าวว่าให้ใช้พรหมวิหาร 4 ดูแลใจของตัวเอง เมตตาต่อตัวเอง ด้วยการรับรู้ว่า มีความกลัวเกิดในใจแล้ว กรุณาต่อตัวเองด้วยการคอยค้นหาวิธีขจัดความกลัว ฝึกฝนตนเองไว้ที่จะทำให้ความกลัวเป็นเพื่อนรักมิใช่ศัตรู มุทิตาต่อตัวเองด้วยความยินดีที่ได้รับรู้ผลที่ได้ทำการฝึกฝนตนเองไป และอุเบกขาต่อตนเองด้วยการยอมรับว่าการฝึกฝนนี้ไม่ได้ง่ายเลย และก็หาใช่ทำไม่ได้ไม่
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ กับสิ่งดีดีที่มอบให้ครูอ้อย คนนี้ค่ะ
พี่หมอเจ๊ครับ
วันก่อนไปงานศพที่กระบี่ เจอสามีพี่หมอเจ๊ ตอนแรกผมจำผิดว่าเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เพราะพี่เขาดูหนุ่มกว่าตัวจริง ฮ่าๆๆ พอทานข้าวเสร็จจะเดินออกจากงานก็มานึกอีกทีว่า เอ..คงไม่ใช่เพื่อนเราแล้วละ แต่เป็นใครน้า....พอดีแอ๊ดเรียกว่าจำพี่เขาได้หรือเปล่า นึกออกทันทีเลย ฮ่าๆๆ