ผมไปช่วยสะท้อนความคิดเห็น การนำเสนอผลการทำงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การขับเคลื่อนเครือข่ายชุมชน ค้นหาแนวทางการพัฒนาสู่อนาคต ของการสาธารณสุขมูลฐาน และการดำเนินงานสุขภาพภาคประชาชน ของเครือข่ายการทำงานเชิงพื้นที่ของศูนย์สุขภาพภาคประชาชนภาคเหนือ นครสวรรค์มา เมื่อวันที่ 22-23 กันยายน 2551
กลุ่มคนที่มานำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม กลุ่มหลักเลยก็คือ เจ้าหน้าที่อนามัย นักวิชาการสาธารณสุข บุคลากรขององค์กรท้องถิ่น และอาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มที่เข้ามาเป็นเครือข่ายเรียนรู้ด้วย ก็มี ผู้ประสานงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้ประสานงานมูลนิธิสุขภาพแห่งชาติ สำนักวิจัยสังคมสุขภาพ มีประเด็นการหารือและเรียนรู้ด้วยกันหลายเรื่อง โดยมุ่งไปที่การทำงานที่เชื่อมโยงกันในระดับชุมชนของ 3 ภาคี คือ องค์กรท้องถิ่น / อสม และ สถานีอนามัย
มักมีการพูดถึงความพร้อมของท้องถิ่นในการรับถ่ายโอนการจัดการสุขภาพชุมชน ให้ไปอยู่ในความดูแลขององค์กรท้องถิ่น ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายๆแห่งที่มักคุยกันในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้ บางครั้งก็พูดถึงตัวอย่างของความริเริ่มและความสำเร็จ บางครั้งก็พูดถึงความพร้อมไม่พร้อม ควรไม่ควร รวมทั้งมีการทบทวนประวัติศาสตร์ พัฒนาการ และความเป็นมา ของการทำงานในชุมชนท้องถิ่นภาคเหนือ เรื่องเหล่านี้ มักทำให้ประเด็นการหารือกันเขวไปเป็นเรื่องอื่นได้เสมอๆ เช่นกัน
ผมเลยเล่าเรื่องให้ฟังอย่างหนึ่งว่า แท้จริงนั้น หากจะเสริมสร้างพลังการจัดการอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่นตามความพร้อมและตามความสมัครใจร่วมกันนั้น แทนการกล่าวว่าเป็นเรื่องการถ่ายโอนเรื่องการจัดการสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับท้องถิ่น ก็อาจจะต้องมองใหม่
ในความเป็นจริงนั้น ควรจะเป็นว่า เป็นเรื่องของการคืนการจัดการสุขภาพและสารทุกข์สุกดิบของชุมชนให้กับท้องถิ่น และให้ระบบสุขภาพของประเทศเข้มแข็งมากขึ้น
เนื่องจากในความเป็นจริงนั้น ก่อนจะมีการดำเนินงานสุขภาพชุมชนที่ชัดเจนขึ้นในช่วงทศวรรษ 2520 ซึ่งได้เริ่มงานสาธาารณสุขมูลฐานขึ้นในประเทศนั้น งานสุขภาพ ก่อนที่จะมาเป็นกระทรวงสาธารณสุขได้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นกองงานสุขาภิบาล ของกระทรวงมหาดไทยเมื่อประมาณปี 2448 ในรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งปี 2482 ก็ก่อตั้งกองส่งเสริมอาหาร ขึ้นมา ในขณะที่กรมสาธารณสุข ก็ยังเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
ขณะเดียวกัน ก่อนนั้นเพียงเล็กน้อย รูปแบบการกระจายอำนาจและการพัฒนาระบบบริหารจัดการท้องถิ่น ก็เริ่มมีการนำร่องโดยก่อตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อ 18 ธันวาคม 2441 และต่อมา ปี 2461 ในรัชกาลที่ 6 ก็มีการก่อตั้ง เมืองดุสิตธานี เป็นเมืองสาธิตระบบสังคมประชาธิปไตยและรูปแบบการบริหารจัดการนคราภิบาล
ต่อมา ในปี 2485 กรมสาธารณสุข จึงแยกออกมาก่อตั้งเป็น กระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับงานทางด้านการศึกษา ซึ่งเป็นงานของกรมประชาบาล กระทรวงมหาดไทย ก็เป็นกระทรวงศึกษาธิการในลำดับต่อมา จะเห็นพัฒนาการมาโดยลำดับได้ว่า งานทางด้านสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตนั้น แท้จริงแล้วก่อกำเนิดมาจากมหาดไทยและท้องถิ่น
ดังนั้น แม้นผ่านไปแล้วกว่า 100 ปี หรือกว่าหนึ่งศตวรรษ เมื่อพูดถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และการพัฒนาพลังการจัดการสุขภาพของท้องถิ่น แทนที่จะกล่าวว่าถ่ายโอนอำนาจจากภาคีสุขภาพให้กับท้องถิ่น จึงควรจะกล่าวเสียใหม่ว่า คืนสู่ความดูแลอย่างบูรณาการของท้องถิ่น หลังจากแยกหากจากกันมากว่าหนึ่งศตวรรษ ซึ่งให้วิถีคิดอะไรใหม่ๆ ที่เหมาะแก่การมองไปข้างหน้าและไม่ทิ้งทุนประสบการณ์เดิมไปอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การพัฒนาการบริหารจัดการท้องถิ่นนับแต่การก่อเกิดสุขาภิบาลท่าฉลอม และรูปแบบนคราภิบาลในเมืองสาธิดระบบประชาธิปไตย เมืองดุสิตธานี แล้ว ก็ดำเนินมาอย่างไม่ค่อยได้รับความสนใจจริงจังของสังคมเท่าใดนัก ผ่านไปกว่าร้อยปี ในขณะที่ภาคสาธารณะหลายเรื่องที่ก่อกำเนิดพร้อมกัน ได้แยกออกไปเจริญงอกงามเติบโตมากมายนั้น การกระจายการบริหารจัดการของท้องถิ่นกลับคืบหน้าไม่มากนัก
สุขาภิบาลทั่วประเทศเพิ่งยกระดับเป็นเทศบาลเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2540 ที่ผ่านมา และมากกว่าร้อยละ 50 ยังไม่สามารถมีบุคลากรและโครงสร้างการดำเนินงานเชิงการบริหารจัดการท้องถิ่นทางด้านสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปดูความเป็นมา ก็มีข้อน่าสังเกตว่า หากใช้ความเป็นกลไกทางอำนาจของท้องถิ่น ชี้นำการพัฒนาท้องถิ่นและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นแต่โดยลำพังแล้ว ท้องถิ่นและการดูแลภาคสาธารณะ จะดำเนินไปได้ช้า เพราะสังคมมักไปติดกับดักโครงสร้างเชิงอำนาจของวิถีคิด
ในขณะที่เมื่อใช้เรื่องทางการศึกษา สุขภาพ รวมทั้งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของประชาชนชี้นำการจัดการความเปลี่ยนแปลง ก็ก่อเกิดระบบการจัดการที่ครอบคลุมส่วนรวม และทำให้ท้องถิ่นจัดการตนเองได้ดีขึ้น เกิดพัฒนาการที่จำเป็นได้เร็วและก้าวหน้ากว่า
ดังนั้น สุขภาพสู่ท้องถิ่น จึงมิใช่เรื่องการถ่ายโอนอำนาจและเพิ่มความรับผิดชอบ ให้กระทบใจผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทว่า เป็น ไผ่คืนกอ หรือ คืนสู่แหล่งก่อเกิดเพื่อผนึกกำลังภายในตนเองของสังคม ยกระดับให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
อีกทั้ง การพัฒนาท้องถิ่น รวมทั้งการส่งเสริมบทบาทมีส่วนร่วมของปัจเจกและชุมชน เพื่อพัฒนาไปสู่อนาคตที่เข้มแข็งมากขึ้นนั้น งานสุขภาพและงานพัฒนาคุณภาพชีวิต หาใช่เป็นความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นของท้องถิ่นครับ ทว่า บทเรียนกว่า 100 ปีสามารถบอกแก่เราได้ว่า เป็นโอกาสให้เรื่องสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นประเด็นชี้นำการพัฒนา ที่มีพลังมากกว่าการอิงกับประเด็นเชิงอำนาจและทำให้เป็นการเมืองในกรอบทัศคติแบบเดิมๆ ครับ.
สวัสดีครับอาจารย์ ดีใจได้มาอ่านเจอบล๊อกของอาจารย์ สบายดีนะครับ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่ง แต่ที่ต้องเพิ่มคือมิใช่กระจายอำนาจไปให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น หากแต่ต้องกระจายอำนาจไปให้ "ท้องถิ่น" นั่นหมายถึงประชาคมท้องถิ่น ที่มีความหลากหลายภาคส่วน ทั้งรัฐ ท้องถิ่น ภาคประชาชน ชุมชน ด้วยครับ
อาจารย์ครับ
มาเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของอาจารย์ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยครับ
๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ขอร่วมรำลึกวันท้องถิ่นไทย
รำลึกการก่อตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม เป็นสุขาภิบาลและระบบบริหารการปกครองท้องถิ่นแห่งแรกของประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๔๔๘