นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า “การเรียนรู้มีต้นทุน” เรื่องต่อไปนี้เกี่ยวกับต้นทุนของการเรียนรู้ ๓ เรื่อง
ตัวอย่างที่ ๑ เรื่องของคนโง่คอมพิวเตอร์
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่า คอมพิวเตอร์มีไดร์ฟอี เอาคอมไปซ่อม ซ่อมเสร็จกลับมาหาไฟล์งานต่างๆ ไม่พบ โทร.ไปหาช่าง ช่างบอกว่า
“เก็บไว้ในไดร์ฟดี” เปิดเข้าไปหาไม่เจอ ช่างบอกว่า “พี่ยกเครื่องมา ผมจะหาให้”
ฉันยกเครื่องใส่รถขับไปร้านซ่อม ช่างพบมันอยู่ในไดร์ฟอี
“คอมฯมีไดร์ฟอีด้วยเหรอ” ฉันอุทาน
“มีซิพี่”
“ไม่รู้นี่ ไม่งั้นคงเปิดหาแล้วแหละ ก็น้องบอกว่าเก็บในไดร์ฟดีนี่นา” แน่ะ ไม่รู้แล้วยังมีเถียง
ต้นทุนการเรียนรู้ว่า “คอมพิวเตอร์มีไดร์ฟอี และอื่นๆ อีกนอกจากไดร์ฟซี และ ดี” มีราคา ๒๐๐ บาทค่าน้ำมันรถ กับค่าเสียเวลาที่นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า เวลาตีราคาเป็นเงินได้
ตัวอย่างที่ ๒ ช่างไฟฟ้าผู้น่าสงสาร
โรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้รับเหมามาทำงานบริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ในวันหยุด ต้องดับไฟฟ้าทั้งหมด ทำงานเสร็จต่อสายไฟไว้ดังเดิมเพื่อจ่ายไฟเข้า ช่างไฟฟ้า “ต่อสายถูกสีแต่จ่ายกระแสไฟผิด” ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านพักเสียหายมากมาย
ช่างไฟฟ้าผู้น่าสงสารให้การว่าปกติสายไฟฟ้า ๒๒๐ โวลท์จะใช้สีสายไฟที่เป็นมาตรฐานเดียวกันที่รู้กันในหมู่ช่าง แต่ปรากฏว่าช่างไฟโรงพยาบาลใช้สายไฟสีนี้กับไฟแรงสูง ทำให้ช่างไฟของผู้รับเหมาเข้าใจผิดหยิบสายไฟสีนี้ต่อเข้าบ้านพัก (เป็นข้อโต้แย้งว่า ตอนคุณถอดสายทำไมไม่จำสีไว้ล่ะ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบ)
บ้านฉันหลังเดียว แอร์ ๑ ตัว ไมโครเวฟ ๑ เครื่อง โทรศัพท์ ๒ เครื่อง เพื่อนบ้านคนหนึ่งเพิ่งซื้อเครื่องเสียงราคา ๔ หมื่นมาได้ ๒ วันก็โดนไปด้วย – รายนี้โมโหเป็นพิเศษ เป็นที่หงุดหงิดใจกันทั่วหน้า กว่าจะได้ของที่ต้องใช้ประจำวันคืนมา
รวมบ้านพักทุกหลัง ไม่รู้ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ที่ผู้รับเหมารายนั้นต้องจ่ายให้โรงพยาบาล และไม่รู้ว่าช่างไฟฟ้าผู้น่าสงสารคนนั้นจะถูกไล่ออกหรือไม่
การเรียนรู้ครั้งนี้ต้นทุนสูง แต่ไม่รู้ว่าช่างไฟฟ้าของโรงพยาบาล (ซึ่งไม่ต้องมีต้นทุน เพราะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย) จะเรียนรู้หรือไม่ว่า “ทำงาน อย่ามั่ว ถ้าไม่รู้ก็หาความรู้” แต่ที่แน่ๆ ช่างไฟฟ้าของผู้รับเหมารายนี้เรียนรู้แน่ๆ ว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน” ด้วยต้นทุนที่สูงลิบ
ตัวอย่างที่ ๓ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พันธมิตรยึดครองทำเนียบรัฐบาลมาเป็นเดือน ยึดครองพื้นที่สะพานมัฆวานสี่เดือนเศษ “ให้ความรู้เรื่องการบ้านการเมือง” แก่ประชาชนจำนวนมหาศาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เป็นโรงเรียนที่สร้างการเรียนรู้เรื่องการเมืองสำหรับประชาชนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ที่สำคัญคือ สามารถปลุกเยาวชนให้ตื่นมาสนใจบ้านเมืองได้สำเร็จ หลายหนที่ล้ำเส้นไปมาก แต่ถือว่า “ขนมพอสมน้ำยา ” เพราะไม่มีใครอีกแล้วในผืนแผ่นดินนี้จะหาญกล้าท้าทายระบอบทักษิณได้เท่าพันธมิตร ก่อนหน้าโน้น (ปี ๒๕๔๘ – ๔๙) ก็ออกแรงขับไล่ระบอบทักษิณมาหนหนึ่งแล้ว ถือได้ว่าเป็นคุณูปการอันสูงส่งสืบมา
การเรียนรู้หนนี้ต้นทุนสูงมากแล้วแต่ใครจะตีราคา พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน รวมค่าเสียโอกาสของประเทศในเรื่องต่างๆ คุ้มค่า หรือ ไม่คุ้มค่า สุดแท้แต่จุดยืนของแต่ละคน ที่ให้คุณค่าต่อ “การเรียนรู้” เรื่องใหญ่ๆ ของบ้านเมือง มี
มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่คาดว่าจะไม่ “เรียนรู้” คือ “นักการเมือง”
บันทึกเมื่อ เสาร์ ๒๗ ก.ย.๒๕๕๑
http://gotoknow.org/blog/katti/199894
ย่อรูปแต่งรูปพี่ดาวคนสวยใจดี