หลายวันแล้วค่ะที่ไม่มีแม้กระทั้งเวลาว่างเข้ามาเขียนบันทึกเลยค่ะ สถานการณ์บ้านเมืองทุกวันก็ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งจนบางครั้งตัวดิฉันเองก็รู้สึกชินๆนั้นคือชินกับความน่าเบื่อ ซึ่งเมื่อมองกลับมาที่ตัวดิฉันเองก็ถามตัวเองซ้ำๆว่าเบื่อเพราะอะไร คำตอบก็คือทำไมไม่ตกลงกันชักทีเรื่องมันจะได้จบ หากไม่มีก้าวแรกของความร่วมมือจะมีก้าวต่อไปได้อย่างไร พยามยามเถอะนะค่ะวิงวอนค่ะเรื่องเครียดๆจะได้หายไปจากสังคมไทยเสียที
สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นสัปดาห์แห่งความเหนื่อยล้าจากการทำงานจริงๆเลยค่ะนั้นอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยมาพร้อมๆกันคือเหนื่อยทั้งกายและใจ ทำให้ได้คิดเช่นกันว่าความเปลี่ยนแปลงนี่ช่างเป็นสิ่งที่ไม่ชอบเอาเสียเลย คิดวนไปวนมานึกถึงหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่เพื่อนรุนพี่คนหนึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรให้ยืมอ่าน ชื่อเรื่องใครเอาเนยแข็งของฉันไป พยายามคิดนะค่ะว่าเรากลัวการเปลี่ยนแปลงหรือ วนไปวนมาและในที่สุดก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ไม่หรอกดิฉันไม่เคยกลัวความเปลี่ยนแปลง หน่วยงานของท่านพิจารณาให้คนทำงานในจุดต่างๆอย่างไร สมัครใจหรือบังคับ และดิฉันอยากได้ความคิดที่หลากหลายทั้งข้อดีข้อเสียค่ะเพราะหากดิฉันมองและคิดตอนนี้คิดว่าความคิดดิฉันคงไม่มีความยุติธรรมให้กับความคิดตรงข้ามไปซะแล้วค่ะ
หยุดเรื่องเครียดไว้เถอะค่ะช่วงเวลาแบบนี้นึกถึงเพลงๆหนึ่งเพราะนะค่ะหลายท่านคงเคยฟังค่ะ ฟังแล้วอบอุ่นบอกไม่ถูกค่ะ ไม่แน่ใจชื่อเพลงค่ะนานแล้วหล่ะ จดหมายจากพระจันทร์
สวัสดีดวงตะวัน คืนนี้มีดาวเต็มฟ้าทอประกาย
ภาระฉันจึงไม่มีมากมาย พอมีเวลานั่งเขียนถึงเธอ
อยู่สบายไหมตะวัน เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยใช่ไหม
ทั้งๆที่ฟ้าเดียวกันนั้นใกล้ แต่เพราะภาระของเราต่างกัน
* แม้จะไม่ได้พบเจอเธอ ก็รู้เสมอว่าเธออยู่ตรงไหน
และฉันก็รู้ว่างานเธอหนักเพียงใด เธอต้องดูแลใครๆ มากมาย
** อยากบอกเธอว่าคิดถึง มีฉันซึ่งยังเป็นห่วงเสมอ
แม้ฉันไม่รู้เมื่อไรจะพบเธอ แต่ฝันถึงเธอทุกคืน
รู้ไว้พระจันทร์ดวงนี้รอพบเธอ และคิดถึงเธอเหลือเกิน
หากคนที่ทำงานหนักท่านใดเหนื่อยและท้อ
ถ้าหากดิฉันสามารถเป็นกำลังใจให้ได้
ดิฉันเป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
เพราะเชื่ออีกเช่นกันค่ะว่าหากเราทำงานในหน้าที่เราอย่างดีและบริสุทธิ์ใจแล้วสิ่งที่เราจะได้กลับมาแน่ๆคือความสุขใจ ความภูมิใจที่เรารู้สึกได้เองดิฉันเชื่อว่าทุกท่านคงเคยรู้สึกและได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนั้นแล้ว
เป็นกำลังใจให้นะ ความเปลี่ยนแปลงอยู่กับเราไม่นานหรอกนะน้องรักเพราะอย่างน้อยพี่โทรหาทิพพี่ก็ได้ยินเพลง เพลงนี้ ก้อนหินก้อนนั้น
เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา
ว่าเวลาใครมาทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ
ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน
ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้
บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น
ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง
ใครมาทำกับเธอให้เจ็บหัวใจ
ก็แค่ให้ก้อนหินก้อนนั้นให้เธอรับมา
เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา
หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว้
หากยิ่งยอมยิ่งแบกไป หัวใจของเธอก็ต้องสั่น
หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอรับไว้เอง
หากเราไม่รับไว้มันก็ไม่หนักเป็นคนแนะเพลงนี้ให้พี่ฟังเองนะ วันนี้พี่อยากให้ลองอ่านมันดู มันเป็นเช่นนั้นเองแหละคนดี ความเปลี่ยนแปลงอยู่กับเราตลอดเวลานะ ในการทำงานทุกอย่างมีอุปสรรคและปัญหาเสมอๆ คนที่ไม่ทำงานเท่านั้นแหละที่งานจะไม่มีปัญหา เชื่อมั่นและเป็นกำลังใจว่าทิพจะจัดการกับความเปลี่ยนแปลงที่บอกได้อย่างดีค่ะ
ถ้าหากเหนื่อยก็หยุดพักซะก่อน นะ บัณทิตเอ๋ย
หากเจ้าไม่หลงว่างานคือชีวิต และชีวิตอยู่ได้ด้วยงาน
หากเจ้าคิดว่าเจ้าทำงานเพื่อการแข่งขันกับคนอื่น ๆ เจ้าก็จะเหนื่อยมากขึ้นเพราะจะต้องวิ่ง ๆ ให้เสมอคนอื่น หรือไม่ก็จะต้องหาทางแซงขึ้นหน้าคนอื่น ๆ เจ้าคือบัณทิต คิดเป็นย่อมจะชนะความคิดที่ซ้อนขึ้นมาคือความอยากที่จะชนะหรือ รางวัล หรือ หลาย ๆ อย่างที่ทุกคนอยากได้จากหน้าที่และการงาน นะ
บัณทิต กลับไปทบทวนสักอย่างอีกทีว่า เจ้าเคยมาจากจุดใด
และขณะนี้เจ้าอยู่จุดใด เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่พักเอาแรงสักนิดหนึ่งทบทวนก้าวที่ผ่านมา ขออนุญาต ออกความคิดเห็นแก่
บัณทิต โชคดี จงมีแด่ ท่านตลอดเวลา