หลังจากที่ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ปราชญ์ชาวบ้านจากอำเภอสตึก บุรีรัมย์ เมื่อบ่ายวานนี้ได้นำเสนอโครงการมหาชีวาลัย ต่อคณะผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าหน้าที่ สคส. พร้อมทั้งคณะผู้บริหารโครงการและคณะพันธมิตรทางวิชาการได้แสดงความคาดหวังและขยายประเด็นเพิ่มเติม ต่อจากนั้นคณะผู้ทรงคุณวุฒิได้แสดงความคิดเห็นต่อโครงการมหาชีวาลัย
กระบวนการพูดคุยระหว่างกัน ดำเนินไปอย่างสไตล์ KM โดยมี ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช คอยทำหน้าที่เป็นคุณอำนวย ให้เกิดการลื่นไหลของการสนทนากัน เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งเป็นธรรมชาติของการก่อกำเนิดความรู้ใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พึงมี จากมุมมองที่แตกต่างน่าจะนำไปสู่คุณประโยชน์ของทุกฝ่าย อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่าคณะผู้บริหารโครงการก็เห็นบางอย่างที่ต้องไปทำให้ชัดขึ้น ประโยชน์สูงสุดคือชุมชน ส่วนท่านอื่นๆรวมทั้งเจ้าหน้าที่ สคส. ก็ได้เรียนรู้บางเรื่องที่จะนำไปปรับใช้ทั้งในชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนไม่มากก็น้อย แน่นอนครับคงได้ไม่เท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องรับของใครเปิดรับมากกว่ากัน
โดยส่วนตัวทุกครั้งที่ได้ร่วมฟังครูบาสุทธินันท์พูดเมื่อไร ก็ต้องได้อะไรติดมือกลับบ้านทุกครั้ง อย่างน้อยที่สุดก็ประกายความคิดเล็กๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เมื่อครางานมหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติครั้งที่ 1 ครูบาสุทธินันท์ได้กล่าวเอาไว้ช่วงหนึ่งบนเวทีสัมมนาที่ผมรู้สึกโดนเข้าอย่างจัง "คนไม่มีความรู้ที่จะอยู่บ้านตัวเอง จึงต้องไปหางานทำที่อื่น" จุดนี้เองครับที่รู้สึกเสียดายว่า มหาชีวาลัยน่าจะขยายความคมชัดในประเด็นนี้ คนจะเรียนรู้อย่างไรจึงจะเข้าใจว่า "ตัวไม่รู้ ว่าไม่รู้อะไร" คือ คนจะต้องเรียนรู้อย่างไร เพื่อจะค้นหาว่าชุดวิชาที่เป็นแก่นความรู้ของการอยู่ในบ้าน(ชุมชน)ของตนได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพของตนนั้นต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง ตรงนี้ได้ไอเดียจากเมื่อวานเหมือนกันว่าประเด็นนี้ต้องย้ำ "แม้แต่ชุดวิชาที่ว่านี้ คนเรียนต้องเรียนรู้เองว่าชุดวิชาที่สำคัญ หรือจำเป็นต่อตัวนั้นมีเรื่องอะไรบ้าง?"
ที่ว่าโดนเข้าอย่างจังจากวลีของครูบาสุทธินันท์นั้น เพราะว่าตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองนั้น ยังสอบไม่ผ่านในสาขาวิชาการกลับไปใช้ชีวิตที่ชุมชนของตัวเอง เมื่อก่อนมักให้คำตอบกับตัวเองเสมอว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็หางานที่ดูดี มีเงินเดือนสูงๆ เพื่อให้ตัวเอง, พ่อแม่รวมทั้งญาติโกโหติกาได้ภาคภูมิใจ เพราะที่บ้านของตัวเองมันไม่มีงานอย่างที่เราใฝ่ฝันหาในสมัยนั้น หลังจากฟังครูบาฯก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง เหมือนครูบาฯยิงหมัดตรง ลงเข้าที่ปลายคางตัวโง่ในตัวผมอย่างจัง ยิ่งไปกว่านั้น ครูบาฯปล่อยหมัดฮุกซ้ำมาอีกดอกหนึ่ง ว่า "เราไม่มีไม้บรรทัดวัดความรู้สำหรับเรื่องนี้" ทำให้ตัวโง่ในตัวผมถึงกับ "เตี้ย" ลงไปเลย หากมีกรรมการก็ต้องนับ 8 ละครับ แต่ยังไม่น๊อคเอาท์ครับ เพราะว่าตัวโง่ในตัวผมยังพอมีแรงเหลืออีกประมาณ
ไอเดียเล็กๆ ที่ได้จากเวทีการนำเสนอโครงการมหาชีวาลัย ได้จากมุมมองที่ต่างหลากหลายในครั้งนี้ พอเอามาปะติดปะต่อเข้ากับความคิดของตัวเอง เลยทำให้พอมองเห็นภาพชุดความรู้ว่าด้วยการคืนถิ่นกลับไปอยู่บ้านตัวเอง การเรียนรู้เรื่องนี้ ผมถือเป็นการเรียนใน "มหาวิทยาลัยชีวิต" ถ้าผมสอบผ่านจะได้ปริญญาเอกสาขากลับไปอยู่บ้านตัวเอง
ชุดวิชาที่เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยการไปพบเห็นจริงบ้างมา ฟังเขาเล่ามาบ้าง ได้จากการสนทนาอย่างเวทีเมื่อวานนี้บ้าง ปะติดปะต่อแล้วพอเห็นภาพชุดวิชาใหญ่ๆ แต่ภาพของวิชาย่อยเล็กๆในแต่ละชุดวิชายังไม่ชัดมากนัก ทั้งหมดเป็นวิชาที่ผมจะต้องเรียนและสอบให้ผ่าน เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมต่อเรื่องนี้นะครับ ของคนอื่นก็อาจจะมีวิชาอื่นที่แตกต่างกันไป
ชุดวิชาที่ 1 (วิชาบังคับ) ชุดความรู้ว่าด้วยการเปิดกะโหลกปรับคลื่นความคิดให้เข้ากับคลื่นชุมชน
ชุดความรู้นี้บังคับต้องผ่านวิชาแรกครับ ถ้าผมปรับวิธีคิด กระบวนทัศน์ของตัวเองที่ยังมีภาพแบบเดิมติดอยู่ ลบหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมก็ต้องล้มเลิกการเรียนในสาขานี้ไป ไม่ต้องไปเรียนวิชาอื่นให้เสียเวลาหรอกครับ เรียนไปก็ไลฟ์บอย ต้องเรียนรู้ว่าไอ้ความพอเพียงมันเป็นอย่างไร ต้องลองชิมรสชาติจริงว่าสู้ไหวมั๊ย หากสอบผ่านก็เรียนต่อ
ชุดวิชาที่ 2 ชุดความรู้ว่าด้วยการสร้างสรรพสัมมาชีพที่เหมาะกับกำลังของตัวและเป็นมิตรกับชุมชน
ถึงแม้เราจะยึดแนวทาง ทำสิ่งที่เราบริโภค และบริโภคสิ่งที่เราทำ ก็ตาม ต้องยอมรับโลกของความเป็นจริงว่ามันทำได้ไม่หมดทุกอย่าง จำเป็นต้องมีรายได้ที่พอจะเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เจือจานให้พ่อแม่ตนได้บ้าง ก็จำเป็นต้องเรียนวิชาการสร้างอาชีพ อาชีพที่ว่าจะรวมถึงการผลิตเพื่อใช้เอง เช่น ปลูกพืชผัก เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เรื่องดิน เรื่องน้ำ เน้นการบริโภคเอง และหารายได้จากข้างนอกด้วยซึ่งจะแตกต่างไปตามสภาพจริง นั่นหมายถึงว่าจะรวมวิชาย่อยในเรื่องการทำธุรกิจอยู่ในชุดความรู้นี้ด้วย
ชุดวิชาที่ 3 ชุดความรู้ว่าด้วยการปรับสมดุลระหว่างชีวิตปัจเจกกับชีวิตสาธารณะ
เรื่องนี้ก็จำเป็นอีกเช่นกัน เราคงจะอยู่โดดเดี่ยวครอบครัวไม่ได้ พลังของชุมชนคือ พลังของการรวมตัวกัน จึงต้องเรียนรู้วิชาย่อยเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน เรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางความแตกต่างได้
ชุดวิชาที่ 4 ชุดความรู้ว่าด้วยการเรียนรู้ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งและเรียนรู้ตลอดชีวิต
ชุดความรู้นี้หากขาดหายไป สักวันชีวิตก็จะเหี่ยวแห้งไป เรียนรู้ให้ถึงขนาดว่ากลับไปค้นหาทุนในชุมชนเดิมที่มีทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น จนทำให้เข้าถึงสัมผัสได้ ดึงมาใช้ประโยชน์ได้ เรียนรู้ให้เห็นมิติความสัมพันธ์ของโลกความจริง เรียนรู้เรื่องราวที่เป็นศาสตร์ทางวิชาการที่สำคัญต่อเรานำมาผนวกกับความรู้เดิมที่เรามี สร้างเป็นความรู้ใหม่มารับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น
ยังไม่หมดนะครับ แต่ที่พอมองเห็นตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน
ย้ำนะครับว่านี้คือเป้าหมายส่วนตัวของผม แต่ไม่สงวนสิทธิ์ที่ใครจะเอาไปดัดแปลง แต่ต้องระวังว่า
การเรียนรู้ที่ดีที่สุด ต้องเรียนรู้ว่า ตัวไม่รู้ ว่าไม่รู้อะไร แล้วค่อยเลือกเรียนเรื่องนั้น
ผมพิจารณาแล้วว่า ชุดวิชาที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ผมไม่รู้ และผมจะต้องเรียนรู้กับมัน จึงจะพบทางปลายฝันที่ผมหวังไว้
และประจวบเหมาะกับอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต สมัยที่ร่ำเรียนวิชาหนึ่ง "Informal sector" ซึ่งมีนักวิชาการพยายามให้คำอธิบายที่มาที่ไปในเรื่องนี้ แต่คำอธิบายเหล่านั้นจะปรากฏสาเหตุในเชิงหลักการในมิติเศรษฐศาสตร์ กล่าวโดยย่อคือ เมื่อภาคเกษตรกรรมเจอสภาพปัญหา อาทิ สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ คนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย จึงต้องอพยพเข้าไปหางานทำในเขตเมือง หรือเขตอุตสาหกรรม แต่ในพื้นที่เหล่านั้น ไม่มีงานรองรับได้เพียงพอ อีกทั้งแรงงานที่หลั่งไหลเข้าไปนั้น อยู่ในสภาพที่มีฝีมือแรงงานไม่ตรงกับที่การจ้างงานต้องการ แรงงานส่วนเกินเหล่านั้น จึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในวิถีทางในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นที่เรียกขานว่า "informal sector" ของนานาประเทศ
แต่พอมาเจอ "มหาชีวาลัย" ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในแง่มุมของการแก้และกันสภาพปัญหาของการย้ายถิ่นฐานแรงงาน เป็นแนวคิดที่ท้าทายมากในสายตาผม
ประเด็นที่เสนอมานี้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ "ตัวไม่รู้ ว่าไม่รู้อะไร" คงนำไปใช้ในการพัฒนาได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตหรือเรื่องของงาน ขออนุญาตนำความคิดของคุณธวัชไปใช้กระตุกเพื่อนร่วมงานให้ได้คิดนะคะ
เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นก่อนหน้าค่ะด้วยค่ะ โดยเฉพาะประเด็น "ตัวไม่รู้ว่า ไม่รู้อะไร" และเป็นตัวอย่างของกระบวนการจัดการความรู้ที่เริ่มจากการยอมรับว่าไม่รู้ แล้ววิเคราะห์ว่าควรจะต้องเรียนรู้คือสิ่งใด เป็นบทความที่โดนจริงๆค่ะ