สายธารแห่งธรรม...เถรวาท...มหายาน...วัชรยาน ( เรื่องเล่า 1 )


  ข้าพเจ้ามีเรื่องเล่า...เรื่องเล่าที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมากันบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อแน่ว่า  หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  เรื่องเล่าเหล่านี้  มันได้เริ่มมีขึ้นและเล่าสืบต่อกันมานานนับสองพันปีกว่าแล้ว  นี่คือเรื่องราวเหล่านั้น...เรื่องเล่าของชาวพุทธ ( แบบของข้าพเจ้าเอง )

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เรื่องเล่าต่างๆที่มีมาแต่โบราณนั้น บางเรื่องไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนจริงจังนัก  แต่อาจจะมีการกล่าวถึงและบันทึกไว้ในเอกสารเก่าแก่บางแห่ง บางตำรา   และเรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า  จะมายึดถือจริงจังมากมายนักก็ไม่ได้   แถมมันยังเป็นเรื่องราวที่เราต้องไตร่ตรองศึกษาและช่วยกันสืบค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเอาเองในภายหลัง  และในการรับฟังนั้น  เราควรนำหลักคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องของกาลามาสูตร 10 อย่าง  ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ เอามาใช้ในการรับฟังเรื่องเล่าต่างๆ นี้ด้วยจะเป็นการดียิ่ง

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ข้าพเจ้าเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติธรรมมาได้ 1 ปี กว่าๆ   ข้าพเจ้าได้พบเจอกัลยาณมิตรทางธรรมมากมาย หลายท่านมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับวิถีแห่งการปฎิบัติธรรม บางท่านมีหนังสือตำราต่างๆ ของครูบาอาจารย์หลายสำนัก  และบางท่านมีความรู้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ  แถมมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากๆด้วย

เรื่องนี้เริ่มต้นในวันหนึ่ง..วันที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนาเรื่องราวทางธรรมกับรุ่นพี่ในที่ทำงานเดียวกัน  รุ่นพี่ท่านนี้ได้ถามข้าพเจ้าว่า

"รู้ไหม๊ว่าพระสาวกรูปใดที่เคยได้รับบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้า? "

"พระสาวกรูปใดที่พระพุทธเจ้ารักและเอ็นดูมากที่สุด ?"

ข้าพเจ้าผู้มีความรู้ด้านพุทธประวัติไม่มากมายนัก ถึงกับคิดหนักแถมกล่าวซักถามรุ่นพี่ท่านนี้ว่า  " พระพุทธองค์ไม่ได้รักและเอ็นดูพระสาวกทุกรูปเท่ากันหรอกหรือ ?  "  รุ่นพี่ท่านตอบว่าเท่ากันก็จริงแต่พระสาวกรูปนี้ ท่านเอ็นดูเป็นพิเศษ 

คำตอบไม่ใช่พระอานนท์  ไม่ใช่พระสารีบุตร และไม่ใช่พระโมคคัลลานะ เพราะในทางเถรวาทแล้วมีเรื่องเล่ากล่าวถึงท่านทั้งสามมากที่สุด และชาวพุทธเถรวาทจะรู้จักท่านทั้งสามดีกว่าพระสาวกรูปอื่นๆ  แต่ท่านทั้งสามไม่ติดอยู่ในอันดับหรือคำตอบนี้

รุ่นพี่ท่านเฉลยว่า  พระมหากัสสปะ คือพระสาวกที่เคยได้รับบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ และพระมหากัสสปะคือพระสาวกที่พระองค์เอ็นดูและรักมาก....หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน และจะมีพิธีถวายพระเพลิงพุทธสรีระนั้น  ยังต้องรอพระมหากัสสปะมาถึงก่อนจึงจะทำพิธีได้  อีกทั้งพระมหากัสสปะคือผู้ที่ได้ริเริ่มให้มีการสังคายนาพระไตรปิฏกขึ้นเป็นครั้งแรก   แล้วยังกล่าวอีกว่า ท่านคือต้นธารของพุทธ สายเซนมหายาน  เพราะในพุทธ สายเซนมหายานนั้น ได้เกิดมีประเพณีการส่งมอบบาตรและจีวร ให้กับผู้ที่ได้รับหน้าที่สืบทอดสายธารแห่งธรรมต่อจากอาจารย์   ซึ่งมีกล่าวถึงในหนังสือสูตรเว่ยหลาง  ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แปลไว้ด้วย 

ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของพระมหากัสสปะในธรรมบรรยายของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์  ท่านได้เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติว่า  วันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถือดอกไม้(ดอกบัว)ไว้ในพระหัตถ์ขวาแล้วชูขึ้น โดยมิได้ตรัสประการใด ในท่ามกลางหมู่สงฆ์นั้น   บรรดาพระสาวกทั้งหลายต่างพากันขบคิดและพิจารณาไตร่ตรองว่า พระพุทธองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร และกำลังสื่อถึงพระธรรมข้อไหน  มีเพียงพระมหากัสสปะเท่านั้นที่จ้องมองมาที่พระพุทธองค์แล้วยิ้ม พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า

      "  สิ่งใดอันตถาคตเป็น...ธรรมใดอันตถาคตรู้
         สิ่งนั้น ธรรมนั้น....ตถาคตได้ถ่ายทอด
         ให้แก่มหากัสสปะโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว"

นี่คือเรื่องราวในครั้งนั้น  กล่าวกันว่า พระมหากัสสปะได้บรรลุธรรมทันทีจากการที่ พระพุทธองค์ทรงใช้ดอกบัวในพระหัตถ์ในการแสดงธรรมครั้งนั้น   นี่เป็นการส่งทอดปัญญาญานจาก จิตสู่จิต  และต่อมาท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น พระสังฆปรินายกองค์ที่หนึ่งแห่ง พุทธศาสนา สายเซน มหายานของอินเดีย  จนเมื่อพระโพธิธรรม หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตั๊กม้อ ซึ่งเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ของอินเดีย ได้เดินทางเข้ามายังเมืองจีนเพื่อเผยแผ่ศาสนา  ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นสังฆปรินายก ของพุทธสายเซนมหายาน องค์ที่ 1 ของจีน  และก็มีการสืบต่อสายธารธรรมนี้มาจนถึงท่านเว่ยหลาง ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของจีน  และหลายคนรู้จักท่านดี เพราะท่านเป็นเจ้าของโศลกที่ว่า

"ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกอันใสสะอาด

เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับได้อย่างไร"

จากเรื่องเล่าดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าพบว่า  ทุกสิ่งมีที่มา  สายธารแห่งธรรมนั้น  ไม่ว่าพุทธสายไหน นิกายอะไร  ต่างมีที่มาตามแบบฉบับของตน  และเป็นเรื่องที่น่าทึ่งก็คือว่า  หลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์นั้น  หลักคำสอนของพระองค์ก็ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ  โดยพระสาวกของพระองค์เอง  เรื่องราวของพระมหากัสสปะนั้นน่าสนใจทีเดียว  และถ้ามาพิจารณาดูแล้ว  ท่านเป็นพระสาวกที่อาวุโสอันดับต้นๆ และมีความสำคัญในเรื่องราวเล่าขานของทั้งฝ่ายเถรวาท และฝ่ายมหายาน  แถมท่านยังเป็นพระสาวกอาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว   โดยกล่าวกันว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี ทีเดียว

จุดเริ่มต้นสายธารแห่งธรรม  สำหรับพุทธ แบบ เซนมหายาน ก็คือพระมหากัสสปะ ซึ่งก็คือพระสาวกของพระพุทธเจ้า  ทั้งหมดนี้มีที่มาและที่ไป.... เป็นที่น่ายินดีว่า  สายธารแห่งธรรมนั้นก็ยังคงไหลต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยเรา  ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีและโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสสัมผัสสายธารแห่งธรรมนั้น    เพราะหลวงปู่ติช ท่านคือพระเซน มหายาน เช่นเดียวกัน

  

คำสำคัญ (Tags): #เซน-มหายาน
หมายเลขบันทึก: 210609เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2008 23:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีครับ

ขอบคุณครับ กับความรู้ใหม่ๆ

ชอบเรื่องเล่าเรื่องนี้ครับ

เราสามารถเรียนรู้ รับรู้ได้ โดยไม่ได้แปลกแยกแต่อย่างใด...

แต่รู้สึกดีใจที่สายธารแห่งธรรมนั้น ได้สร้างสิ่งที่ดีงามกับมนุษยชาติของเราอย่างมากครับ...

สวัสดีค่ะคุณประจักษ์

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

Good morning ค่ะน้อง kmsabai

ดีใจที่ชอบเรื่องเล่าเรื่องนี้ค่ะ  พุทธที่แท้ไม่ว่าสายไหน นิกายอะไร   มีเรื่องเล่าดีๆ และมีหนทางดีๆ สำหรับเราทั้งหลายเสมอ

ขอบคุณค่ะพี่ยา ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

หวัดดีจ้าหมอนิด

วันก่อนไปรับน้องสาวที่คุ้นเคยกัน ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ( ศูนย์ 2 )  ได้พบกับอาจารย์ศิริพรด้วย อาจารย์ถามถึงนิดด้วยล่ะ  ถามว่าสุขสบายดีหรืออย่างไร   ยังคุยกับอาจารย์เลยว่า พี่อาจจะไปเที่ยวเมืองสองแควสักที  เพราะแว่วว่าที่เมืองนี้ก็มีร้านกาแฟอร่อยๆ ให้ไปชิมอยู่หลายร้านใช่บ่  แต่คงเป็นปลายปีแล้วล่ะ  ปลายเดือนนี้จะไปเดินธุดงค์ เอ้ยไป  Trekking ที่สิกขิมจ้า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท