ข้าพเจ้ามีเรื่องเล่า...เรื่องเล่าที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมากันบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อแน่ว่า หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เรื่องเล่าเหล่านี้ มันได้เริ่มมีขึ้นและเล่าสืบต่อกันมานานนับสองพันปีกว่าแล้ว นี่คือเรื่องราวเหล่านั้น...เรื่องเล่าของชาวพุทธ ( แบบของข้าพเจ้าเอง )
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เรื่องเล่าต่างๆที่มีมาแต่โบราณนั้น บางเรื่องไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนจริงจังนัก แต่อาจจะมีการกล่าวถึงและบันทึกไว้ในเอกสารเก่าแก่บางแห่ง บางตำรา และเรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า จะมายึดถือจริงจังมากมายนักก็ไม่ได้ แถมมันยังเป็นเรื่องราวที่เราต้องไตร่ตรองศึกษาและช่วยกันสืบค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเอาเองในภายหลัง และในการรับฟังนั้น เราควรนำหลักคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องของกาลามาสูตร 10 อย่าง ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ เอามาใช้ในการรับฟังเรื่องเล่าต่างๆ นี้ด้วยจะเป็นการดียิ่ง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ข้าพเจ้าเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติธรรมมาได้ 1 ปี กว่าๆ ข้าพเจ้าได้พบเจอกัลยาณมิตรทางธรรมมากมาย หลายท่านมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับวิถีแห่งการปฎิบัติธรรม บางท่านมีหนังสือตำราต่างๆ ของครูบาอาจารย์หลายสำนัก และบางท่านมีความรู้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ แถมมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากๆด้วย
เรื่องนี้เริ่มต้นในวันหนึ่ง..วันที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนาเรื่องราวทางธรรมกับรุ่นพี่ในที่ทำงานเดียวกัน รุ่นพี่ท่านนี้ได้ถามข้าพเจ้าว่า
"รู้ไหม๊ว่าพระสาวกรูปใดที่เคยได้รับบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้า? "
"พระสาวกรูปใดที่พระพุทธเจ้ารักและเอ็นดูมากที่สุด ?"
ข้าพเจ้าผู้มีความรู้ด้านพุทธประวัติไม่มากมายนัก ถึงกับคิดหนักแถมกล่าวซักถามรุ่นพี่ท่านนี้ว่า " พระพุทธองค์ไม่ได้รักและเอ็นดูพระสาวกทุกรูปเท่ากันหรอกหรือ ? " รุ่นพี่ท่านตอบว่าเท่ากันก็จริงแต่พระสาวกรูปนี้ ท่านเอ็นดูเป็นพิเศษ
คำตอบไม่ใช่พระอานนท์ ไม่ใช่พระสารีบุตร และไม่ใช่พระโมคคัลลานะ เพราะในทางเถรวาทแล้วมีเรื่องเล่ากล่าวถึงท่านทั้งสามมากที่สุด และชาวพุทธเถรวาทจะรู้จักท่านทั้งสามดีกว่าพระสาวกรูปอื่นๆ แต่ท่านทั้งสามไม่ติดอยู่ในอันดับหรือคำตอบนี้
รุ่นพี่ท่านเฉลยว่า พระมหากัสสปะ คือพระสาวกที่เคยได้รับบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ และพระมหากัสสปะคือพระสาวกที่พระองค์เอ็นดูและรักมาก....หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน และจะมีพิธีถวายพระเพลิงพุทธสรีระนั้น ยังต้องรอพระมหากัสสปะมาถึงก่อนจึงจะทำพิธีได้ อีกทั้งพระมหากัสสปะคือผู้ที่ได้ริเริ่มให้มีการสังคายนาพระไตรปิฏกขึ้นเป็นครั้งแรก แล้วยังกล่าวอีกว่า ท่านคือต้นธารของพุทธ สายเซนมหายาน เพราะในพุทธ สายเซนมหายานนั้น ได้เกิดมีประเพณีการส่งมอบบาตรและจีวร ให้กับผู้ที่ได้รับหน้าที่สืบทอดสายธารแห่งธรรมต่อจากอาจารย์ ซึ่งมีกล่าวถึงในหนังสือสูตรเว่ยหลาง ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แปลไว้ด้วย
ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของพระมหากัสสปะในธรรมบรรยายของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ท่านได้เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติว่า วันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถือดอกไม้(ดอกบัว)ไว้ในพระหัตถ์ขวาแล้วชูขึ้น โดยมิได้ตรัสประการใด ในท่ามกลางหมู่สงฆ์นั้น บรรดาพระสาวกทั้งหลายต่างพากันขบคิดและพิจารณาไตร่ตรองว่า พระพุทธองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร และกำลังสื่อถึงพระธรรมข้อไหน มีเพียงพระมหากัสสปะเท่านั้นที่จ้องมองมาที่พระพุทธองค์แล้วยิ้ม พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า
" สิ่งใดอันตถาคตเป็น...ธรรมใดอันตถาคตรู้
สิ่งนั้น ธรรมนั้น....ตถาคตได้ถ่ายทอด
ให้แก่มหากัสสปะโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว"
นี่คือเรื่องราวในครั้งนั้น กล่าวกันว่า พระมหากัสสปะได้บรรลุธรรมทันทีจากการที่ พระพุทธองค์ทรงใช้ดอกบัวในพระหัตถ์ในการแสดงธรรมครั้งนั้น นี่เป็นการส่งทอดปัญญาญานจาก จิตสู่จิต และต่อมาท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น พระสังฆปรินายกองค์ที่หนึ่งแห่ง พุทธศาสนา สายเซน มหายานของอินเดีย จนเมื่อพระโพธิธรรม หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตั๊กม้อ ซึ่งเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ของอินเดีย ได้เดินทางเข้ามายังเมืองจีนเพื่อเผยแผ่ศาสนา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นสังฆปรินายก ของพุทธสายเซนมหายาน องค์ที่ 1 ของจีน และก็มีการสืบต่อสายธารธรรมนี้มาจนถึงท่านเว่ยหลาง ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของจีน และหลายคนรู้จักท่านดี เพราะท่านเป็นเจ้าของโศลกที่ว่า
"ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับได้อย่างไร" จากเรื่องเล่าดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าพบว่า ทุกสิ่งมีที่มา สายธารแห่งธรรมนั้น ไม่ว่าพุทธสายไหน นิกายอะไร ต่างมีที่มาตามแบบฉบับของตน และเป็นเรื่องที่น่าทึ่งก็คือว่า หลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์นั้น หลักคำสอนของพระองค์ก็ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ โดยพระสาวกของพระองค์เอง เรื่องราวของพระมหากัสสปะนั้นน่าสนใจทีเดียว และถ้ามาพิจารณาดูแล้ว ท่านเป็นพระสาวกที่อาวุโสอันดับต้นๆ และมีความสำคัญในเรื่องราวเล่าขานของทั้งฝ่ายเถรวาท และฝ่ายมหายาน แถมท่านยังเป็นพระสาวกอาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว โดยกล่าวกันว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี ทีเดียว จุดเริ่มต้นสายธารแห่งธรรม สำหรับพุทธ แบบ เซนมหายาน ก็คือพระมหากัสสปะ ซึ่งก็คือพระสาวกของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดนี้มีที่มาและที่ไป.... เป็นที่น่ายินดีว่า สายธารแห่งธรรมนั้นก็ยังคงไหลต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยเรา ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีและโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสสัมผัสสายธารแห่งธรรมนั้น เพราะหลวงปู่ติช ท่านคือพระเซน มหายาน เช่นเดียวกัน
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ กับความรู้ใหม่ๆ
ชอบเรื่องเล่าเรื่องนี้ครับ
เราสามารถเรียนรู้ รับรู้ได้ โดยไม่ได้แปลกแยกแต่อย่างใด...
แต่รู้สึกดีใจที่สายธารแห่งธรรมนั้น ได้สร้างสิ่งที่ดีงามกับมนุษยชาติของเราอย่างมากครับ...
สวัสดีค่ะคุณประจักษ์
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ
Good morning ค่ะน้อง kmsabai
ดีใจที่ชอบเรื่องเล่าเรื่องนี้ค่ะ พุทธที่แท้ไม่ว่าสายไหน นิกายอะไร มีเรื่องเล่าดีๆ และมีหนทางดีๆ สำหรับเราทั้งหลายเสมอ
ขอบคุณค่ะพี่ยา ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
หวัดดีจ้าหมอนิด
วันก่อนไปรับน้องสาวที่คุ้นเคยกัน ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ( ศูนย์ 2 ) ได้พบกับอาจารย์ศิริพรด้วย อาจารย์ถามถึงนิดด้วยล่ะ ถามว่าสุขสบายดีหรืออย่างไร ยังคุยกับอาจารย์เลยว่า พี่อาจจะไปเที่ยวเมืองสองแควสักที เพราะแว่วว่าที่เมืองนี้ก็มีร้านกาแฟอร่อยๆ ให้ไปชิมอยู่หลายร้านใช่บ่ แต่คงเป็นปลายปีแล้วล่ะ ปลายเดือนนี้จะไปเดินธุดงค์ เอ้ยไป Trekking ที่สิกขิมจ้า