ชัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ
[Shambhala : The Sacred Path of the Warrior]
เชอเกียม ตรุงปะ เขียน / พจนา จันทรสันติ แปล
บทวิจารณ์เพิ่มเติม
ท่านผู้ปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ |
ผู้ครอบครองความรุ่งโรจน์ของพยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑและมังกร |
ผู้ครอบครองความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นเกินถ้อยคำ |
ข้าขอกราบประณต ณ เบื้องบาทแห่งองค์จักรพรรดิริกเดน |
ชัมบาลา(Shambhala) |
หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ |
ภาคที่ 1 จะเป็นนักรบได้อย่างไร |
จากกระจกเงาอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล |
ซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ |
สังคมมนุษย์ก็เริ่มอุบัติขึ้นมา |
ในครั้งนั้น การหลุดพ้นและความสับสนก็อุบัติขึ้นด้วย |
เมื่อมีความกลัวและความสับสนสงสัย |
เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล |
ผู้คนอันขลาดเขลาจำนวนมากก็อุบัติขึ้น |
เมื่อความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล |
ได้รับการยอมรับและดำเนินตาม |
นักรบจำนวนมากก็อุบัติขึ้น |
ผู้คนอันขลาดเขลามากมายเหล่านั้น |
พากันซ่อนตนอยู่ตามถ้ำเถื่อนพงไพร |
ฆ่าพี่ฆ่าน้องและกัดกินเนื้อกันเอง |
ต่างประพฤติเยี่ยงอย่างสัตว์ |
ต่างกระตุ้นเร้าความป่าเถื่อนในกันและกัน |
ต่างมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ |
เขาหล่อเลี้ยงและสุมไฟแห่งความเกลียดชังไว้ |
เขาเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมแห่งความเกียจคร้าน |
ยุคสมัยแห่งความอดอยากและโรคระบาดก็อุบัติขึ้น |
สำหรับผู้ที่อุทิศตนแด่ความเชื่อมั่นแต่ปฐมกาล |
เหล่านักรบมากมายเหล่านั้น |
บ้างก็ขึ้นสู่ที่สูงบนภูเขา |
และสร้างปราสาทแก้วผลึกอันงดงามขึ้นที่นั่น |
บ้างก็ไปสู่ดินแดนแห่งทะเลสาบและเกาะแก่งอันงดงาม |
และสถาปนาเวียงวังอันน่ารื่นรมย์ขึ้น |
บ้างก็ลงสู่ที่ราบลุ่ม |
ทำการเกษตรเพาะปลูกข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี |
ต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง |
มีแต่ความรักใคร่และเอื้อเฟื้อแบ่งปัน |
โดยไม่ต้องมีใครกระตุ้นเตือน |
ผ่านความลี้ลับสุดหยั่งถึงซึ่งดำรงอยู่ด้วยตนเอง |
เขาต่างอุทิศตนต่อจักรพรรดิริกเดน |
บทที่ 1 สร้างสังคมอริยะ
"คำสอนของชัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณอันเป็น รากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งหลายของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้เป็นสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใดหรือลิทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจากตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของนักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่างๆ ตลอดช่วงกาลที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์" |
บทที่ 2 ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม
"อาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลงตรงนั้น ชีวิตของคุณก็อาจกลายเป็นหนทาง และแม้กระทั่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทีเดียว คุณย่อมตระหนักได้ว่าคุณ สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ดุจราชันหรือราชินี ความสูงส่งของสภาวะนี้ ขานไขให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ซึ่งเกิดจากการหยุดนิ่งและเรียบง่าย" |
"ผ่านการปฏิบัติโดยการนั่งนิ่งๆ และเฝ้าติดตามลมหายใจขณะผ่อนออก และจางหายไป คุณก็ได้เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อย ให้เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถสร้างความรู้สึกเกื้อการุณย์ อย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเองได้" |
บทที่ 4 ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น
"การยอมรับถึงความกลัวใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหดหู่หรือท้อแท้ เพราะด้วยเหตุที่เรามีความกลัวเช่นนี้อยู่เราจึงยังมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่นอยู่ด้วยในตัว ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริงนั้นมิใช่การลดทอนความกลัวลง แต่เป็นการขึ้นอยู่เหนือความกลัวนั้น" |
บทที่ 5 ประสานจิตกับกาย
"การประสานจิตกับการยเข้าด้วยกันมิใช่เป็นเพียงความคิดหรือเป็นวิธีการอันไร้แบบแผน ที่ผู้ใดผู้หนึ่งคิดขึ้นมาเพื่อใช้ปรับปรุงตนเอง ทว่ามันคือหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และการใช้ผัสสะ ใช้จิตและ กายอย่างสอดคล้องกัน" |
บทที่ 6 รุ่งอรุ่ณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
"วิถีทางแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนการแลเห็นว่า มีแหล่งกำเนิดแห่งแสงสว่างและประภารัศมีตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก็คือภาวะแห่งการตื่นขึ้น อันมีอยู่โดยกำเนิดของมนุษย์" |
บทที่ 7 รังดักแด้
"หนทางของคนขลาด คือ การสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองไว้ ภายในรังนั่นเอง ที่เราพยายามสืบต่อนิสัยใจคอเฉพาะตัวไว้ เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐาน ของนิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทางผ่าน พ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย" |
"สิ่งที่นักรบต้องตัดทอนลงก็คือ สิ่งใดก็ตามในประสบการณ์ของเขาซึ่ง เป็นเครื่องกั้นขวางระหว่างตัวเขากับผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตัดทอน นี้กลับช่วยให้ตนสามารถขึ้น อ่อนโยนและเปิดกว้างต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้น" |
บทที่ 9 เฉลิมฉลองการเดินทาง
"ความเป็นนักรบ คือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง การเป็นนักรบ ก็คือ การเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุกๆขณะของชีวิต" |
บทที่ 10 ปล่อยให้เป็นไป
"เมื่อคุณใช้ชีวิตสอดคล้องกับความดีงามพื้นฐานเมื่อนั้นคุณก็ได้สิ่งสมความ ผุดผ่องตามธรรมชาติขึ้น ชีวิตของคุณก็อาจว่างและผ่อนคลายโดยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนมักง่าย คุณอาจปล่อยวางความรู้สึกกดดันหรือเคอะเขินในการที่ต้องเกิด มาเป็นมนุษย์และก็อาจรู้สึกมีกำลังใจขึ้น" |
ภาคที่ 2 ความศักดิ์สิทธิ์ : โลกของนักรบ |
จิตซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้น |
จิตต้องประคองใส่ไว้ในเปลแห่งความเมตตา |
และให้ดูดดื่มน้ำนมอันรุ่งโรจน์ลึกซึ้ง |
แห่งความสิ้นสงสัยอันเป็นอมตะ |
ให้อยู่ในร่มเงาเย็นฉ่ำแห่งความไม่หวาดหวั่น |
พัดวีด้วยพัดแห่งความเบิกบานและความสุข |
เมื่อดวงจิตนั้นเติบใหญ่ขึ้น |
พร้อมๆ กับสำแดงออกมาซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ |
จงนำมันไปสู่สถานแห่งการพึ่งพิงตัวเอง |
เมื่อมันเติบโตขึ้นอีก |
เพื่อที่จะเกื้อหนุนให้เกิดความเชื่อมั่นแต่ปฐมกาล |
จงนำไปสู่สนามยิงธนูของนักรบ |
และเมื่อมันยิ่งเติบใหญ่ขึ้น |
เพื่อที่จะปลูกธรรมชาติดั้งเดิมให้ตื่นขึ้น |
จงพามันไปสัมผัสสังคมมนุษย์ |
ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามและศักดิ์ศรี |
เมื่อนั้นดวงจิตซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว |
จึงอาจกลับกลายมาเป็นดวงจิตของนักรบ |
และความมั่นใจอันหนุ่มแน่นเป็นอมตะนั้น |
จึงอาจแผ่ออกกว้างสู่ห้วงมหรรณพอันไร้จุดเริ่มต้นและไร้ที่สิ้นสุด |
ณ จุดนี้เองที่ดวงจิตนั้นจะแลเห็นดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ |
"เราจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสายวัฒนธรรม ของเรากับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาล คือ สิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจจุบัน" |
"สัมผัสรับรู้ใดๆก็ตาม อาจเชื่อมโยงเราเข้ากับความเป็นจริงได้อย่างถูกต้องและเต็มเปี่ยม สิ่งที่เราแลเห็นไม่จำเป็นต้องงดงามเป็นพิเศษ แต่เราก็อาจชื่นชมในสรรพสิ่งใดๆ ซึ่งดำรงอยู่ด้วยว่ามีหลักการของอำนาจ วิเศษมีคุณสมบัติอันมีชีวิตชีวาแฝงอยู่ในทุกสิ่ง มีบางสิ่งบางอย่างอันมีชีวิต มีบางสิ่งบางอย่างที่จริงยิ่งดำรงอยู่ในทุกๆสิ่ง" |
บทที่ 13 จะปลุกเอาอำนาจวิเศษได้อย่างไร "เมื่อคุณได้สำแดงความอ่อนโยนและความชัดเจนออกมาในสภาพแวดล้อมตนเมื่อนั้นพลังและความรุ่งโรจน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสภาวะเช่นนั้นขึ้นมาจากอัตตาของตนเองสิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นคุณไม่มีทางครอบครองพลัง และอำนาจวิเศษของโลกนี้ได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่มีและ ดำรงอยู่เสมอ ทว่าก็มิใช่สมบัติส่วนตัวของใคร" |
"เมื่อคุณเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน โดยปราศจากความหยิ่งยโสและ ความก้าวร้าว เมื่อนั้นคุณก็จะเห็นถึง ความเรืองรองของจักรวาล คุณอาจ พัฒนาสัมผัสรับรู้ที่แท้จริงถึงจักรวาลขึ้นมาได้" |
บทที่ 15 เอาชนะนิสัยและความเคยชิน "กระบวนการที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากความหยิ่งยโส และถอนทำลาย ความเคยชินลง เป็นวิธีการที่ออกจะรุนแรง แต่ทว่าจำเป็นยิ่ง หากปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนในโลก" |
"เมื่อมนุษย์ได้สูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติต่อฟากฟ้าและแผ่นดิน เมื่อนั้นเขาก็ไม่รู้วิธีในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม หรือในการจัดการกับโลกของตน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน มนุษย์ได้ทำลายระบบนิเวศน์ลงและในขณะเดียวกันก็ได้ทำลายกันและกันลงด้วยจากมุมมองนี้เองการเยียวยาบำบัดสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งปรากฏการณ์" |
"การใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับระบบธรรมชาติ มิใช่การดำเนินตามกฎเกณฑ์ อันตายตัวหรือประกอบภารกิจประจำวันตามแบบแผนความประพฤติหรือบทบัญญัติอันแห้งแล้ง โลกนี้มีระเบียบแบบแผน มีพลังอำนาจและ ความรุ่มรวมล้ำลึก ซึ่งอาจสอนคุณให้รู้จักดำเนินชีวิตอย่างมีศิสปะ อย่างเต็ม เปี่ยมด้วยเมตตาต่อผู้อื่น และรู้จักทนุถนอมตัวเอง" |
"แนวคิดเรื่องการปกครองโลกของตัวเอง ก็คือการที่คุณอาจมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีวินัย โดยไม่ปล่อยปละละเลย และในขณะเดียวกันก็สามารถเบิกบานในชีวิตได้ด้วย คุณสามารถเชื่อมโยงการหาเลี้ยวชีพกับศาสนธรรมเข้าด้วยกัน" |
ภาคที่ 3 ปัจจุบันขณะอันแท้จริง |
สำหรับบุคคลแห่งซัมบาลาผู้ทรงเกียรติ |
คือรุ่งอรุ่ณแห่งการดำรงอยู่อย่างแท้จริงและเต็มเปี่ยม |
"การท้าทายของนักรบก็คือการก้าวออกจากรังดักแด้ก้าวออกมาสู่ที่กว้างโล่งภายนอกโดยมิทั้งความกล้าหาญและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน" |
บทที่ 20 การดำรงอยู่อย่างแท้จริง "ตรงขั้นตอนนี้เองที่การเดินทางของนักรบได้ตั้งมั่นอยู่บนสภาวะของความเป็นนักรบแล้ว แทนที่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อรุดหน้าต่อไป นักรบย่อมรู้สึกได้ถึงความ ผ่อนคลายอันดำรงอยู่ในการบรรลุถึงของตน สิ่งนี้มิได้ตั้งอยู่บนอัตตา หากตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นอันปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นอิสระจากก้าวร้าวใดๆ ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเหมือนดอกไม้ที่คลี่บานออก เป็นกระบวนการแผ่ขยายออกโดยธรรมชาติ" |
"แนวคิดเรื่องการสืบสายแห่งคำสอนชัมบาลา สัมพันธ์อยู่กับสายใย ซึ่งเชื่อมโยงคนเข้ากับปรีชาญาณปฐมกาล ปรีชาญาณประการนั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากและธรรมดาสามัญยิ่ง ทว่าลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไพศาล" |