นี่แหละ...คือความเสียใจ


...เมืองเลย ฝนตกติดกันเป็นวันที่ 3 แล้ว

ผมกับแม่ะยังคงนั่งดูสายฝน ที่ตกลงมาตรงเวลาทุกวันด้วยกัน

ราวกับว่าได้ตั้งเวลาเอาไว้ยังไงยังงั้น และมันก้อพอดีกับเวลาทานยาก่อนอาหารของแม่ะ

แม่ะของผมป่วยด้วยโรคที่หมอเองก้อยังวินิจฉัยไม่เป็นที่สุด

แต่...ตัวเลือกของโรค แต่ละโรค ที่คุณหมอวัยเยาว์ หยิบมาเป็นปลายทางของการวินิจฉัยนั้น

มันทำให้ผม กับแม่ะมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยลงเรื่อยๆ



แม่ะทานยา และบ่นว่าที่กินข้าวได้น้อยลงก้อเพราะยานี่แหละ
มันเยอะเสียจนทำให้แกอิ่มไปค่อนกระเพาะ ...แกว่าอย่างนั้น
ผมได้ฟังแล้วก็นึกตลก และขำอยู่ในที  แต่มันช่างเป็นตลกร้าย และขำไม่ออกเสียทีเดียวนัก

“ เสียดายจัง ยายมาชวนไปนอนวัด แล้วไม่ได้ไปกะแก ” แม่ะพูดขึ้นมาลอยๆ 

“ แม่ะ อยากไปป่าวละ ตามไปก็ได้นี่ ” ...แม่ะนิ่งไปสักพัก และก้อไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ผมนึกในใจ...แล้วจะพูดขึ้นมาทำไมเนี่ย...
จากนั้นผมก้อต้องไปธุระหลายวัน ปล่อยให้แม่ะ อยู่กับพ่อ และเจ้าถุงเงิน ถุงทอง

กลับจากธุระที่เปรียบเสมือนกับการได้ไปเที่ยวด้วยในตัว
ผมกลับมาอยู่กับแม่ะเหมือนเดิม และเริ่มสังเกตว่า หลายประโยคที่แม่ะพูด
มักจะเริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า “ เสียดาย ”

แม่ะบอกว่า....
....ทุกวันนี้ ไม่มีอะไร ให้เศร้า ให้เสียใจ กับสิ่งที่ได้ทำ หรือสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรอก
จะเสียใจก้อแต่ยังมีอารัยที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งหลายอย่าง  ทั้งๆ ที่มันน่าจะทำตั้งนานแล้ว...แกว่า
...คนเราอายุมันไม่สำคัญหรอก เป็นเพียงตัวเลข บางคนหน้าอ่อน อายุแก่
บางคนหน้าแก่ อายุอ่อน บางคนแก่ ทำตัวเด็ก บางคนเด็ก ทำตัวแก่แดด
สำคัญอยู่ที่ว่า โตได้เท่าอายุรึป่าว... ฟังมาถึงตรงนี้ ผมว่า เอ...ประโยคเหล่านี้มันคุ้นๆ แฮะ
แต่ผมก้อยังนึกไม่ออก

...ที่ห่วง ก้อคงเป็นแกนี่แหละ เมื่อไหร่แกจะเป็นผู้ใหญ่ จริงๆจังๆ เสียที
แม่ะรู้ว่าความคิด ความอ่าน สมองของแกนะ ว่าแกน่ะเป็นผู้ใหญ่ สอนน้อง สอนหลานได้
แต่คนข้างนอก คนในสังคมเล่า เขาจะมาอ่านความคิด หรือมองเห็นส่วนนี้ของแกไหม
ถ้าแกไม่ลงมือทำให้เขาเห็น เขารู้ เป็นรูปธรรม  เขาเหล่านั้นก้อจะคิดว่า
แกเกาะพ่อแม่กินอยู่ร่ำไป... ในใจผมคิดตอบกลับทันทีว่า
“ ก้อเพราะยังงี้ไงเล่า ผมถึงตัดสินใจไปทำธุรกิจที่มหาสารคาม ”

...ย้อนกลับไป ...ด้วยความคิดที่ว่า การทำงานในระบบราชการคงไม่ทำให้รวยได้
หากรวยคงใช้เวลานาน จึงตัดสินใจไม่ขอแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกับใคร
ไม่ต่อสัญญาโครงการ ขอเป็นฝ่ายถอยออกมาเองดีกว่า
เลยยย ไปเปิดร้านเหล้าที่มหาสารคาม...แรกๆ ก้อไปได้ดี
แต่ก้อเข้าอีหรอบเดิม นิสัยเดิมๆ ( ซึ่งไม่ขอกล่าวถึง )
และเกิดเหตุการณ์ อกหัก รักคุด ทำให้มันไปไม่รอด
( อานุภาพความรักนี่ มันรุนแรงจริงๆ ความสามารถในการทำลายล้างสูง เพราะฉะนั้น ใครที่มีรักต้องรู้จักมันให้ดี อย่าให้มันมาครอบงำ)
ก้อ...เป๋ไปเหมือนกัน ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก
เงียบแต่ไม่หาย ล้มเหลว แต่ไม่ล้มเลิก
ตั้งใจจะทำอย่างอื่นต่อ แต่ว่าพ่อ..เบรก.. เอาไว้เสียก่อน
แม่ะ...ก้อมาป่วยด้วย เป็นอันต้องพับไป

...และแล้วผมก้อนึกออกแล้วว่าประโยคที่แม่ะพูด
และว่าคุ้นๆ นั้น มันอยู่ในเมลล์ของผมเอง
เป็นฟอร์เวริ์ดเมลล์ และเป็นไปไม่ได้ที่แม่ะจะจำมาพูด
เพราะแม่ะใช้คอมฯไม่เป็น ก้อแกจบแค่ป.4 นี่หน่า
( ประโยคนี้ พูดต่อหน้าแม่ะไม่ได้เลยนะเนี่ย เพราะแกจะโกรธ
และตอกกลับทันทีว่า “ ป. 4 แร้วงัยย่ะ  ดร. ทำตัวเหี้ยกว่าหมายังมี ” )
...แต่เสียดายที่เมลล์นั้นผมลบไปเสียแร้ว ไม่งั้นคงเอามาอ้างอิงถึง ให้ได้อ่านกัน

ช่วงเวลาไพร์มไทม์ ก้อเป็นอีกช่วงเวลานึง ที่ผมกะ แม่ะ ต้องอยุ่ด้วยกันเสมอ
อยู่ดีๆ แก ก้อโพล่งออกมา   ...แม่ะน่าจะเด็ดขาดมากกว่านี้
เพราะพ่อแกเขาก้อไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้ออกคำสั่งกับแกเลย กลายเป็นว่า กลับคล้อยตามกัน...
มาถึงประโยคนี้ ผมเข้าใจความหมายที่แม่ะพูดทันที …
เพราะด้วยเหตุที่พ่อ และ แม่ะ ไม่ได้เลี้ยงดูผมแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
เลยคิดว่าการที่ผมจะทำอะไร จะเอาอะไร จึงไม่ค่อยที่จะขัด
เพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่ขาดสำหรับผม แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า
ผมเป็นผู้มีสิทธิ์เด็ดขาดภายในบ้าน ทุกอย่างที่ผมตัดสินใจต้องเป็นไปตามนั้น
ไม่มีคำโต้แย้งจากพ่อ และแม่ะ แม้จะมี ...แต่สรุป มันก้อต้องเป็นอย่างที่ผมตัดสินใจอยู่ดี

มันไม่อาจจะพูดได้ว่า ..พ่อ แม่ รังแกฉัน..
เพราะนั่น มันเปนการมองอย่างที่เห็น ไม่ได้มองอย่างที่มันเปนเลย
สิ่งที่มันเปนก้อคือ ทุกอย่างเกิดจากความรัก และความรักไม่เคยผิด
คนเราต่างหากที่ผิด... ผิดที่ตัวตนของเราเอง...
และเราก้อไปฝากความผิดไว้ที่ ความรัก...
และยิ่งเปนรักที่พ่อ แม่ มีให้ลูกแล้ว เปนสิ่งประเสริฐสุด

จุดเริ่มต้น และบ่อเกิดของมันเปนอย่างนั้น เกิดจากความรักอันประเสริฐ
แต่วิถีทางของมันต่างหากเล่า... ตัวตนของเราต่างหากเล่า...
ที่ทำให้มันเป๋ไปจากจุดเริ่มต้นของมันเอง
หากเราเข้าใจ ความรักนี้ ตั้งแต่ต้น... ตั้งแต่เมื่อเราเปนเด็ก
ผมก้อไม่อาจที่จะคาดเดาได้ว่า ชีวิต...มันจะเปนอย่างรัย
....ทุกคนลองคิดดูนะคัฟว่า ถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว ชีวิตทุกคนจะเปนเช่นไร

... แต่สำหรับผมกับสิ่งที่ผมเปนอยู่ทุกวันนี้ ผมคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับผมแล้ว…
เพราะ...ผมกำหนดคำว่า “ ดีที่สุด ” สำหรับตัวผมเองไว้ในเกณฑ์มาตรฐานที่ " ต่ำ "
เมื่อมันต่ำ มันก้อถึงที่สุดเร็ว...หยุด ขวนขวาย หยุด ดิ้นรน ...เร็ว  ขึ้นเหมือนกัน
และมันก้อจะมีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาเร็วเช่นกัน เราก้อกำหนดใหม่ ให้มันต่ำ ไม่ให้มันสูง

คำว่า “ ต่ำ ” ไม่ใช่ “ ต่ำต้อย ” แต่มันคือ ความพอใจในระดับที่น้อยที่สุด
เราลองย้อนคิดดูซิว่า เราเริ่มเกิดความพอใจขึ้นเมื่อไหร่ นั่นแหละ....หากเราเริ่มหยุด
และคิดว่า พอแล้ว ...ไม่ทะยานขึ้นไปอีก ไม่คิดว่าถ้ามากกว่านี้ แล้วเราจะสุขมากขึ้นแค่ไหน
ถ้าพอแล้วกับปัจจุบัน... ...นั่นก้อคือ “ ดีที่สุด ” สำหรับเราเช่นกัน

ครอบครัวเราต่างก้อ รอ และ รอว่า ....
ผลตรวจของแม่ะ ที่จะออกมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น เปนเช่นไร...


ติดตามอ่านกันต่อได้นะคัฟ

หลายคนอาจคิดว่า ไอ้คนแบบผม มันคิดแบบนี้ได้จริงๆ หรือ
สิ่งเหล่านี้ กระบวนการความคิดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากประสบการณ์
...ความล้มเหลว หลงผิด ไร้สาระ ในชีวิต การงาน และความรัก แทบทั้งสิ้น
และที่สำคัญ ทุกเหตุการณ์ มันเปนการตัดสินใจ
ที่เกิดจากความต้องการของ " ใจ " ของผมจริงๆ
ผมถึงได้เข้าใจทุกสิ่ง อย่างที่เปนอยู่นี้ ...

หมายเลขบันทึก: 208459เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2008 17:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะน้อง

มาเยี่ยมให้กำลังใจ

ขอให้คุณแม่หายป่วยเร็วๆนะ

รักษาสุขภาพ

พี่อนงค์

สวัสดีค่ะ

มาให้กำลังใจค่ะ

พ่อก็ป่วยเหมือนกัน

สุขทุกอยู่ที่ใจ

สุดท้ายคนที่รักเรามากที่สุด คือแม่ พ่อ

ขอให้แม่หายเร็วไวนะคะ

สู้ๆและอดทนค่ะ ^_^

ขอบคุณครับ พี่อนงค์ และคุณเทียนน้อย ที่แวะมาเยี่ยมเยียน

และให้กำลังใจ+คำอวยพร

เจงๆแล้ว ผมใช้เวบนี้ไม่ค่อยเปนอ่ะครับ เลยไม่ได้เข้ามานาน

อีกอย่างผมยังติดภาษาเนตวัยรุ่นอยุ่อ่ะครับ (ก้อยังวัยรุ่นอยุ่ 28 เองง่ะ)

กลัวว่าใช้ภาษาไม่ถูก มันไม่ชินครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท