ภาพจำลองการเกิด "บิกแบง"
ไขปริศนา วันโลกาวินาศ จะเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อมนุษย์ริสร้าง บิกแบง เล่นบทพระเจ้า
เมื่อวันที่ 10 กันยนยนที่ผ่านมา เป็นวันที่คนทั้งโลกต้องกลั้นหายใจลุ้นว่าโลกจะแตกหรือไม่ หรือว่าโลกจะถูกดูดหายไปหรือไม่ หลังจากที่รู้เรื่องเกี่ยวกับการทดลองของ "เซิร์น" (Cern - European Organization For Nuclear Reseach) ที่ได้เริ่มเดินเครื่องทำการทดลองสร้างปรากฎการณ์ บิกแบง (Big Bang) เลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งทฤษฎีบิกแบง (การระเบิดครั้งใหญ่) เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของสุริยะจักรวาลและโลก ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของบิกแบงจะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของ "หลุมดำ" (Black Hole) ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมวลมากและอัดกันแน่นจนมีแรงโน้มถ่วงสูงมากจนสามารถดูดทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าไปรวมอยู่ด้วยกัน
เมื่อคนทั่วไปๆ ที่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ได้ยินถึงตรงนี้ ก็เกิดอาการหวาดกลัวว่า การทดลองของเซิร์นครั้งนี้จะนำมาซึ่งจุดจบของโลกและจักรวาลเรา!! และกระแสความหวาดกลัวก็แผ่ขยายไปมาก ถึงขั้นมีข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เด็กหญิงชาวอินเดียฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกหนีวันสิ้นโลก ซึ่งเธอเข้าใจว่ามันจะเกิดขึ้น
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด เพราะข้อมูลส่วนมากเกี่ยวกับการทดลองครั้งนี้เป็นข้อมูลด้านเทคนิค ใช้ศัพท์แสงที่เข้าใจยาก
เครื่อง LHC (Large Hadron Collider)
ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) กล่าวกับ "มติชนออนไลน์" ว่า การทดลองครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหลัวกลัวและไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน และเริ่มอธิบายให้เราเข้าใจง่ายๆ ว่า ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์บิกแบงและเกิดจักรวาลนั้น หลุมดำได้ดูดกลืนดวงดาว พระอาทิตย์ล้านๆ ดวง ทุกสิ่งที่อย่าง แม้กระทั่งแสงเข้ามา ซึ่งผลที่ได้ก็คือ สสารที่อัดรวมกันแน่น
"พระอาทิตย์ ดวงดาวล้านๆ ดวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกดูดโดยหลุมดำ ได้มารวมตัวกันเป็นสสารที่อัดแน่น และเมื่อมีการอัดแน่นมาก อนุภาคต่างๆ จะพยายามแยกตัวหนีออกจากกันเพราะพลังงานสูงมาก จึงเกิดการระเบิด โดยเมื่อยิ่งมีการอัดแน่นมากเท่าไหร่ การระเบิดก็รุนแรงมากเท่านั้น การระเบิดครั้งนี้เรียกว่า บิกแบง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้" ดร.สมพร เล่า
ดร.สมพร อธิบายต่อว่า ในลักษณะเดียวกับการทดลองของเซิร์นครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามเลียนแบบปรากฎการณ์ดังกล่าว โดยแทนที่จะเป็นดวงดาวหรือพระอาทิตย์ที่มารวมกัน นักวิทยาศาสตร์กลับใช้ "โปรตอน" (ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่าดวงดาวอย่างที่เทียบกันไม่ได้) มาวิ่งชนกันด้วยความเร็วสูง เพื่อทำให้รวมตัวกัน โดยใช้เครื่อง LHC (Large Hadron Collider) ซึ่งมีพลังงานสูงมาก หรือประมาณ 1,000,000 ล้านล้านอีเล็กตรอนโวล์ต (1,000,000,000,000 eV ขณะที่ค่า 1 .eV มีค่าประมาณพลังงานของแสงหลอดไฟ)
โดยมีจุดประสงค์ของการทดลอง คือต้องการรู้ว่าภายหลังที่โปรตอนชนกัน (รวมกัน) ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าแสงแล้วระเบิด (Mini Bang) หายวับไป "จะเกิดสิ่งใดขึ้น"ตามมา เพราะนักวิทยาศาสตร์มีหน้าที่ค้นพบความจริงที่อยู่บนโลกและจักรวาล
ดังนั้น การระเบิดจากการชนกันของโปรตอนนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นการระเบิดขนาดใหญ่แบบ "บิกแบง" (ซึ่งก่อให้เกิดจักรวาลและดวงดาว) ได้อย่างแน่นอน เพราะแรงระเบิดของการชนครั้งนี้ ดร.สมพร ระบุว่า สามารถแค่ทำให้เส้นผมของมนุษย์เป็นหลุมแค่นั้นเอง
ตามทฤษฎีเกี่ยวกับอนุภาคของ "นายปีเตอร์ ฮิกก์ส" เชื่อว่าภายหลังการชนดังกล่าวจะเกิด "อนุภาคขนาดเล็กที่สุด" ที่นักวิทยาศาสตร์เคยค้นพบ โดยมีขนาดเล็กกว่า "อะตอม" (Atom) และเล็กกว่า "ควาร์ก" (Quark)ที่เรียกว่า "ฮิกก์ส" (Higgs)และอาจค้นพบสิ่งอื่นมากกว่านี้
เราจะเห็นได้ว่าขนาดของสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่หลุมดำดูดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งดวงอาทิตย์หลายดวงมาอัดแน่นกันแล้วระเบิดออกมาเป็น "จักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงดาว และอื่นๆ" กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจากการทดลองครั้งนี้ ที่เรียกว่า "ฮิกกร์" จะมีขนาดแตกต่างกันมาก" จนเทียบกันไม่ได้ เพราะ"ฮิกกส์"มีขนาดเล็กมากจนต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจวัด
เมื่อถามว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้าง "บิงแบง" ของจริงได้หรือไม่ ดร.สมพร กล่าวว่า กำลังคงไม่พอ เพราะอะไรที่ทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่เท่านั้นได้คงมีเพียงพระเจ้า จึงไม่จำเป็นต้องกลัว ควรไปกลัวแผ่นดินไหวหรือรถชนยังดีกว่า ส่วนความสามารถที่คนจะทำการทดลองที่ใหญ่กว่านี้นั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแค่นี้ก็ต้องใช้กำลังเงิน (5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ) และกำลังสมองอย่างหนักแล้ว
ด้าน ดร.รพพน พิชา กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สทน. กล่าวว่า การทดลองนี้ไม่น่ากลัวแน่นอน และปรากฎการณ์นี้ก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะในความเป็นจริงปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่แล้วทุกวัน เพราะในจักรวาลมีอนุภาคที่วิ่งชนกันเองอยู่ตลอด โดยพลังงานที่ชนกันก็สูงกว่าพลังงานที่เกิดจากเครื่อง LHC ด้วยซ้ำไป แต่กลับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเรา หรือต่อดวงดาวอื่นๆ
เมื่อนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์มาอธิบายให้เราเข้าใจอย่างง่ายๆ เราคงไม่ต้องกลัวแล้วว่า การทดลองนี้จะทำให้เกิดโลกาวินาศ แต่การทดลองครั้งนี้อาจทำให้มนุษย์ได้ค้นพบความจริงจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ย้ำว่าแค่อีกก้าวหนึ่งเท่านั้น
และคงแทบเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะสามารถเล่นบท "พระเจ้า" หรือสามารถเอาชนะ "ธรรมชาติ" ได้!!!
เรียนทุกท่านที่เคารพ..........ทุกท่านลองศึกษาอย่างถ่องแท้....แล้วจะพบความอัศจรรย์ของธรรมชาติ....ทุกอย่างของจักวาลขึ้นอยู่กับ.....แสง....และ.....เวลา.......แท้จริงแล้วจักรวาล.....ไม่ได้มีเพียงจักวาลเดียว......มีเป็นจำนวนมากซึ่งไม่มีอะไรในจักรวาลนับได้......และท้ายสุดแล้วคือความว่างเปล่า...........เราคนไทยถือได้ว่าประเสริฐสุดแล้ว....ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยว
โรเบริต ไอสไตร์.....ได้ศึกษามาแล้ว....และทฤษฎีสัมพันทภาพ.....เป็นจุดเริ่มของการเข้าใจใน
ธรรมชาติ......และ สมการ E = Mc2 เป็นทฤษฎีของจักรวาลนี้......สุดท้ายขอฝาก...ให้ชาวไทยทุกคนยึดมั่นในความดี....ซึ่งนำไปสู่ดวงจิตที่บริสุทธ์.......แล้วท่านจะพบความสุขที่พระผู้มีพระเจ้าได้ทรงชี้นำ..................แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา........ไม่มี.
น่ากลัวจัง
แต่ก็แปลก
แวะมาเก็บข้อมูล
มาเก็บข้อมูลคับ
ขอบคุณคับ
โลกร้อนก็งี้แหละ
พวกนี้มันหาที่ตายบ่
ตายคนเดียวไม่พอจะพาคนอื่นตายด้วนิหว่า
ผมไม่ต้องการที่จะไม่ทดลองอะไรเลย และ มนุษยชาติ ต่างสับสน ระหว่าง Scientis Evolution กับ พระเจ้า สิ่งใดคือ Genuine