จากปากคำของ
นจท.ในบทบาทคุณอำนวย
สำหรับในการดำเนินโครงการระยะที่ 2 นี้
บทบาทหน้าที่ของนักจัดการความรู้ท้องถิ่น (นจท.) ทั้ง 8 คนก็เปลี่ยนไป
ต้องมีภาระหน้าที่มากขึ้น
ในการเชื่อมประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และเชื่อมประสานงบประมาณที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิดประโยชน์กับชุมชนมากที่สุด
ทั้งนี้นางสาวพิมพร
ช้างทองคำ นักจัดการความรู้ท้องถิ่น จ.อ่างทอง
กล่าวว่า
ในโครงการระยะแรกตนดำเนินโครงการในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องเกษตรอินทรีย์
โดยจะเน้นความต้องการของชาวบ้านเป็นหลัก
มีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมสุขภาพของเกษตรกร
ใช้กระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อเสริมการเรียนรู้เป็นระยะๆ
โดยให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการกำหนดประเด็นการเรียนรู้เอง
ทำให้เกษตรกรเริ่มเห็นผลต่างระหว่างการทำเกษตรแบบเคมีกับการทำเกษตรอินทรีย์
และเกิดความตระหนักในการเรียนรู้เพื่อลดต้นทุนและการจัดทำบัญชีฟาร์มอย่างต่อเนื่อง
“ครั้งแรกเราจะดูศักยภาพ และความต้องการของชุมชนก่อน
ว่าชุมชนต้องการเรียนรู้เรื่องอะไร
จากนั้นเราก็จะมาจัดกระบวนการกลุ่มวิเคราะห์ร่วมกันว่าเกษตรกรต้องการความรู้เรื่องอะไร
ให้เขาจัดการตัวเขาก่อนโดยใช้ศักยภาพ/ภูมิปัญญาของเขาเองเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมต่างๆ
เช่น
การทำปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดก็จะนำผู้รู้ในชุมชนมาสอนแล้วเชื่อมโยงความรู้จากภายนอก
เช่นจากมูลนิธิข้าวขวัญ เข้ามาให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์
เป็นการออกไปเรียนรู้ถึงสถานที่จริง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้าน”
พิมพรพ์ กล่าวและว่า
ปัจจุบันสมาชิกกลุ่มเกษตรอินทรีย์ได้ขยายหัวเชื้อเป็นแกนนำในโรงเรียนเกษตรกร
และความความรู้ดังกล่าวยังขยายผลต่อไปยังสถาบันการศึกษาในชุมชน เช่น
นักเรียนจากโรงเรียนวัดชัยภูมิได้มาร่วมเรียนรู้กับชาวบ้าน
หรือวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดอ่างทอง
ได้ติดต่อให้นักจัดการความรู้ท้องถิ่นเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้แก่นักศึกษาของตน
เป็นต้น
พิมพ์พร
กล่าวต่ออีกว่า แนวทางโครงการโรงเรียนเกษตรกร ในระยะที่ 2
นี้แม้ไม่ได้เข้าไปต่อเชื่อมกับอปท.
โดยตรงแต่แผนของโรงเรียนเกษตรจะไปตรงกับแผนของอำเภอในแผนปี 2549
ซึ่งจะสนับสนุนเรื่องเกษตรชีวภาพและเกษตรปลอดภัยอยู่แล้ว
ตนจึงเข้าไปเชื่อมประสานโครงการเข้ากับโรงผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดร่วมกับกลุ่มสหกรณ์ที่ชุมชนทำอยู่
ซึ่งจะพัฒนาเป็นสถาบันการจัดการความรู้ของชุมชนต่อไป
โดยมีเป้าหมายทำให้ศูนย์ 1 ตำบล 1
ฟาร์มที่มีอยู่แล้วเป็นห้องทดลองด้านการเกษตรและเป็นที่เรียนรู้ด้านอื่นๆของชุมชน ผ่านการสร้างแกนนำชุมชนเพื่อเป็นผู้ขยายผลการเรียนรู้
ด้านนางสาวนันท์ภัส
รุ่งแสง นักจัดการความรู้ ต.เชิงกลัด อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
กล่าวว่า
ในระยะแรกตนดำเนินโครงการเรื่องสุขภาพองค์รวมผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น
กลุ่มออกกำลังกาย เป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเองในฐานะคุณอำนวยและคุณประสาน
ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนให้กับการทำงานในระยะที่ 2
ที่จะได้นำความรู้และประสบการณ์มาใช้อย่างเต็มที่
ซึ่งโครงการระยะที่
2 นี้จะดำเนินโครงการจัดการขยะในชุมชนเป็นหลัก
ควบคู่กับเรื่องห้องเรียนชุมชนเช่น ห้องเรียนดงยาง
ซึ่งเชื่อมประสานกับมหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี
จ.ลพบุรี ทำการอนุรักษ์ดงยางในพื้นที่ใกล้เคียง
เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องทรัพยากรของชุมชนและเยาวชนในพื้นที่ ทั้ง
2 เรื่องนี้สามารถโยงเข้าสู่ประเด็นสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้
โดยวางบทบาทที่หนุนเสริมการทำงานกันและกันคือ
มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรีเป็นแหล่งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ (พฤษศาสตร์
ฯลฯ) ส่วนนักจัดการความรู้ท้องถิ่นจะเป็นผู้เชื่อมโยงกับชุมชน
ดำเนินการจัดและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสม
“ สำหรับการทำงานร่วมกับอปท.นั้น
ก็เข้าไปประสานความเข้าใจระหว่างชุมชนกับอปท.
เช่นเรื่องงบประมาณของอบต.ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกจัดสรรไปสร้างถนนและอาคาร
อาจจะไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นจึงต้องเป็นผู้ประสานเพื่อนำงบประมาณมาใช้ให้ตรงกับความต้องการของชุมชน
และที่สำคัญจะต้องให้ชุมชนเกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่าชุมชนมีปัญหาอะไร
และปัญหานั้นจะส่งผลกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างไร
เป็นภาพตัวอย่างของสถาบันการจัดการความรู้ในชุมชน” นันท์ภัส
กล่าว
นันท์ภัส
กล่าวด้วยว่าสถาบันการเรียนรู้หมายถึง
กระบวนเรียนรู้และองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในชุมชน
โดยมีบุคคลที่สามารถถ่ายทอดความรู้หรือเป็นตัวประสานกับหน่วยงานต่างๆ
(นักจัดการความรู้ท้องถิ่น)
ซึ่งแม้ว่าในระยะแรกจะมีตนเพียงคนเดียวในชุมชน
แต่ในระยะหลังตนเริ่มถ่ายเทบทบาทให้กับคนในชุมชนเช่นกลุ่มออกกำลังกายในอดีตหากตนไม่อยู่ชาวบ้านจะออกมานำไม่ได้
แต่ในระยะหลังตนเริ่มทิ้งกลุ่มบ่อยๆ
ชาวบ้านก็ลองนำออกกำลังกายกันเองซึ่งขณะนี้ถือว่ามีตัวแทนแล้ว
หรือกลุ่มกีฬาในหมู่บ้านในอดีตจะมีเด็กมายืมอุปกรณ์กีฬาที่ตนประจำแต่ระยะหลังตนก็จะถ่ายโอนอุปกรณ์ไว้ให้กลุ่มให้เขาดูแลจัดการกันเอง
ทำให้เกิดสภาวะที่เหมือนกับความรู้และการจัดการเริ่มถ่ายเทไปยังแกนนำกลุ่มต่างๆ
ซึ่งตนในฐานะคุณอำนวยรุ่นแรกก็จะต้องจัดตั้งให้เขาเป็นกลุ่มย่อยๆ
รองรับงานและกิจกรรมที่เขาถนัด เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มออกกำลังกาย
กลุ่มเยาวชน กลุ่มดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น
ส่วนความรู้ที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้น
ได้มีการจัดเก็บไว้เป็นบันทึกหรือรายงาน
อีกส่วนหนึ่งคือเริ่มค้นหาคนที่อยู่ในชุมชน
ว่าใครที่มีความรู้ภูมิปัญญา ก็จะมีการทำประวัติของเขา
เหมือนแผนที่คนดีในชุมชน
สิ่งเหล่านี้คือรูปธรรมบางส่วนที่กำลังขยับขยายแนวร่วม ซึ่งมีทั้ง
อบต. เทศบาล อบจ. จังหวัด สหกรณ์ และชุมชนท้องถิ่น
ให้กว้างขวางออกไปเป็น
“เครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น”
ภายใต้หลักการเรียนรู้ของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน
เป็นอีกโครงการหนึ่งที่มีบทบาท ภารกิจ
ในการขยายการจัดการความรู้สู่ฐานรากของสังคมไทยอย่างน่าชื่นชม
นายทรงพล
เจตนาวณิชย์ โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข
(สรส.)
สำนักงานชั่วคราว เลขที่ 693 ถนนบำรุงเมือง เขตป้อมปราบ กทม.
10100
โทร.02-2236713 โทรสาร.02-2264718
จุฑารัตน์ จำปาเงิน
นจท. จ.สุพรรณบุรี
54/1 ต.ดอนปรุ ต.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี 72140
โทร.036-420160
ชไมพร วังทอง
นจท.จ.สุพรรณบุรี
59/1 ม.5 ต.หนองหญ้าไซ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240
โทร.09-9854882
นันท์นภัส รุ่งแสง
นจท. จ.สิงห์บุรี
24/1 ม.2 ต.เชิงกลัด อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี 16130
โทร.01-3577442
ปราณีต นาคะเสโน นจท.
จ.สิงห์บุรี
35 ม.3 ต.เชิงกลัด อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี 16130
โทร.01-1986245
อัฒยา สง่าแสง นจท.
จ.อ่างทอง
139/1 ม.7 ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง 14110
โทร.06-0803160
วลีรัตน์ จำนงค์เวช
นจท. จ.อ่างทอง
46 ม.2 ต.ไชยภูมิ อ.ไชโย จ.อ่างทอง 14140
โทร.09-8023620
พิมพ์พร
ช้างทองคำ นจท. จ.อ่างทอง
28/3 ม.8 ต.ไชยภูมิ อ.ไชโย จ.อ่างทอง 14140
โทร. 09-7453112
สายใจ ทองเติม นจท.
จ.อ่างทอง
15 ม.1 ต.บางระกำ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง 14120
โทร.09-9291153
กิตติ บุตรสิงห์ นจท.
จ.อุทัยธานี
148 ม.6 ต.ประดู่ยืน อ.ลายสัก จ.อุทัยธานี 61160
โทร.056-537255
ไม่มีความเห็น