"วาจาแห่งรัก"


“การฝึกการใช้วาจาแห่งรัก” จึงเป็นศิลปะแห่งการใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นศิลปะพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ด้วยศานติ นี่เป็นปรัชญาพื้นฐานของ “ฮัก”...ความฮักบ้าน ฮักเมือง

 

คลื่นแห่งความโกรธ เหตุหนึ่งของความโกรธขึ้งของเรา นั้นคือ คำพูด ของคนอื่นที่ทิ่มแทงเสียดสีเข้ามาสู่ใจเรา มีคำกล่าวว่า วาจาเป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่า เป็นดังหอกดาบอันแหลมคม คนเราสามารถพูดให้คนอื่นรักได้ และก็สามารถทำให้คนอื่นชังได้จากคำพูดของเราเอง

 

ก่อนพูดเราเป็นนาย หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา เหตุนี้เอง เราจึงต้องพึงระมัดระวังในคำพูด มีสติคิดก่อนพูด มิเช่นนั้นเราก็จะมาเสียใจภายหลังกับคำพูดของเราเอง ที่กลับมาทิ่มแทงตัวเราเอง

บางทีเราก็ตั้งใจจะพูดประชด ประชัน เสียดสีคนอื่น

และบางทีเราก็เผลอใช้คำพูดที่บั่นทอนกำลังใจกันและกัน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็ทำร้ายคนรอบข้าง คนที่เรารัก ไปโดยอัตโนมัติ และมันก็ไม่อาจที่จะเรียกกลับมาได้เหมือนเดิม เหมือน นิทานตะปู ที่แม้เราหายโกรธแล้ว เรากลับมาช่วยเยียวยาสิ่งที่เรากระทำไป โดยการถอนตะปูออกจากกำแพงแล้ว แต่กำแพงก็ยังคงมีริ้วรอยของตะปูอยู่

นึกดูดีดีสิ เวลาคนอื่นพูดไม่ดีกับเรา เรายังรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ เช่นกันหากเราพูดไม่ดีออกไปคนอื่นก็ไม่ชอบเช่นกัน

 

ดังนั้น การฝึกการใช้วาจาแห่งรัก จึงเป็นศิลปะแห่งการใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นศิลปะพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ด้วยศานติ นี่เป็นปรัชญาพื้นฐานของ ฮัก...ความฮักบ้าน ฮักเมือง

หากเราไม่สามารถสร้างวาจาแห่งรักให้เกิดกับตนเองได้ แล้วเราจะไปสร้างความฮักบ้านฮักเมืองกับเขาได้อย่างไร การสานสร้างเครือข่าย ยิ่งจำเป็นต้องเกิดจากความคิด การกระทำ และคำพูดที่มาจากความรัก

หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งรัก การฝึกการใช้วาจาแห่งรัก ก็เหมือนกับพวกเราที่ปลูกผักอยู่ หากเราได้รดน้ำใส่ปุ๋ยที่ดี สม่ำเสมอ ต้นผักก็จะเจริญงอกงาม ให้ต้นกล้าที่งดงาม ตรงกันข้ามหากเรารดน้ำใส่ปุ๋ยที่ปะปนสารพิษ ปะปนสารเคมี เจือปนสิ่งที่ต้นผักไม่ต้องการ ต้นผักนั้นจะเจริญงอกงามได้อย่างไร แม้จะเจริญขึ้นได้ แต่ก็มีสารพิษเจืออยู่ข้างใน ใครๆ ก็ไม่อยากเอาไปกิน แม้เอาไปกินก็เกิดผลเสียต่อร่างกาย

การฝึกการใช้วาจาแห่งรัก จึงเป็นการฝึกธรรมะ ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันของเรา สามารถฝึกได้ในทุกปัจจุบันขณะของชีวิต

 

ท่านติชนัทฮันท์ ภิกษุนิกายเซน ชาวเวียดนาม ที่พำนักอาศัยอยู่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส กับสังฆะหลากหลายชนชาติ ได้กล่าวถึง ข้อฝึกอบรมสติข้อที่ ๔ (ศีลข้อ ๔) ที่ขยายมากกว่าแค่การพูดเท็จ ว่า

ด้วยความตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการกล่าวถ้อยคำที่ขาดความยั้งคิด และระคายหูผู้อื่น ข้าพเจ้า ตั้งสัตย์ ปฏิญาณว่าจะบ่มเพาะวาจาที่ไพเราะ และตั้งใจฟังอย่างมีสติเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข เบิกบาน ตลอดจน ช่วยแบ่งเบา ทุกข์ของพวกเขา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าคำพูดสามารถก่อให้เกิดความสุข และ ความทุกข์ จึงขอตั้งจิตมั่นว่า จะพูดแต่ความจริง ด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเอง ไม่รู้แน่ชัด รวมทั้ง ไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ ตลอดจนละเว้นจากการกล่าววาจา ที่จะก่อให้เกิดความ แตกแยก ไม่ปรองดองกัน หรือทำให้ครอบครัว ชุมชน ต้องแตกแยกร้าวฉาน ข้าพเจ้าจะพยายาม ทุกวิถีทางที่จะ ประนีประนอม และแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องเล็กก็ตาม

 

แล้วทีนี้หากเราฝึกใช้วาจาแห่งรักแล้ว แต่คนอื่นเขาใช้วาจาที่ไม่ดี บั่นทอนกำลังใจเรา ทิ่มแทงใจเรา แล้วทำให้เราเป็นทุกข์ล่ะ เราจะนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้เลยหรือ เราไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่

ใช่ครับ เราก็เป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดา ที่มีโลภ โกรธ หลง แต่เราสามารถที่จะฝึกคิด ทำ และปฏิบัติที่ต่างออกไปได้ หากเราเปลี่ยนมาเป็นการโลภในการคิดดี พูดดี และทำดี โกรธกับการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีของตัวเราเอง และหลงใหลในการที่จะคิดดี พูดดี และทำดี ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา หากเราไม่เก็บมาใส่ใจ คำพูดเหล่านั้นมันก็ล่องลอยไปกับสายลม มันผ่านมาและก็ผ่านไปเหมือนลมพัดผ่าน หากแต่บางทีมันก็พัดกลับไปทิ่มแทงคนพูดเอง เหมือนบูมเมอแรง แต่หากเราเก็บมาใส่ใจ คนที่เป็นทุกข์มิใช่เขา หากแต่เป็นเราต่างหาก ยิ่งเก็บไว้ยิ่งทุกข์หนัก

เขาจะพูดอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้ตัวเราว่าเราเป็นอย่างไร ต่างหากนี่สำคัญ เพราะถ้าเรารู้ตัวเราว่าเราเป็นอย่างที่เขาพูด เราก็จะไม่โกรธเขา แต่มันจะเป็นกระจกบานหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นตัวเอง เราก็ต้องปรับปรุงตัวเอง แต่หากเรารู้ตัวเองว่าไม่ใช่อย่างที่เขาพูด แล้วเราจะไปทุกข์ทำไมกับคำพูดของเขา คุณค่าของเรามิได้อยู่ที่คนภายนอกมองเรา หากแต่เป็นที่ตัวเรามองตัวเราว่าเป็นอย่างไรต่างหาก

 

อยากให้พวกเราฝึกใช้วาจาแห่งรักด้วยกัน อันเป็นการสร้างความฮักบ้าน ฮักเมือง อย่างจริงแท้และยั่งยืน

วาจาแห่งรัก คือวาจาที่กำกับด้วยสติ วาจาที่ออกมาจากความเมตตา และความกรุณาของเราเองครับ

 

ด้วยจิตคาราวะ

พ่อน้องซอมพอ

๒ กันยายน ๒๕๕๑

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ความรัก#วาจา#สติ
หมายเลขบันทึก: 205010เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2008 13:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

Tree

ต้นซอมพอ  ที่สวยที่สุด สุด ดดดดดด  อยู่ที่ อ . เชียงคำ คะ  ดอกสี ชมพู  เต็มต้น  สวยมาก เจ๊า

อยากเห็นจังเลยครับ มีรูปไหมครับ ว่าจะสวยขนาดไหน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท