ความฝันของครูผู้ยิ่งใหญ่
คำว่า “ครู” ในความคิดของฉันเป็นคำที่แสนยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ฉันรู้สึกว่า “ครู” เป็นเหมือนคนพิเศษที่สามารถสร้างอะไรก็ได้ให้กับบุคคลที่ตนเองอบรมสั่งสอน ดังนั้นจึงไม่ผิดเลยที่จะบอกว่า “ครู” คือ “แม่พิมพ์” หรือ “ต้นแบบ” ของนักเรียน ทุกคนคงเคยเรียนวิชาศิลปะเมื่อตอนที่เป็นนักเรียนกันมาแล้ว ถ้าความจำของคุณไม่บิดเบือนไปนักคงจะจำตอนที่ทำแบบเพื่อพิมพ์ภาพกันได้ คนไหนทำแบบพิมพ์สวย ภาพที่พิมพ์ด้วยแบบนั้นก็จะออกมาสวยงามและน่ามอง เป็นภาพที่มีคุณค่า แต่ถ้าคนไหนมีแบบพิมพ์ที่ไม่สวยนัก ภาพที่ออกมาก็จะบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปไม่น่ามอง ต้นแบบของนักเรียนที่เรียกว่า “ครู” นั้นก็เช่นกัน!
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมายืนอยู่ในสถานะที่เรียกว่า “ครู” ได้ แม้ว่าเมื่อครั้งที่ยังเด็กนั้น ฉันมักจะเล่นบทบาทครูและนักเรียนกับกลุ่มของเพื่อนสนิทอยู่อย่างสม่ำเสมอก็ตาม แต่ก็ได้มาเป็น “ครู” จริงๆ ความรู้สึกในวันแรกนั้นทำให้ฉันบอกกับตัวเองว่านับจากนี้ไปจะเป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว
จุดเริ่มต้นการเป็นครูของฉันไม่ค่อยสวยงามนัก ด้วยเหตุผลเนื่องจากการขาดประสบการณ์ที่มีมากพอๆ กับการขาดความรู้ทางด้านวิชาชีพ ฉันไม่เคยผ่านการเรียนวิชาครูมาก่อน แต่ฉันก็ต้องทำให้ได้! เมื่อสมัครเข้าเรียนวิชาครูเพิ่มเติมเพื่อทำตนเองให้ได้มาตรฐานของความเป็น “ครู” ที่ควรมีแล้ว ฉันก็เริ่มต้นวางเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ และสิ่งนั้นก็คือ “การเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่” ฉันคิดและบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ให้จงได้
ความยิ่งใหญ่ในทรรศนะของฉันไม่ใช่การที่เรามีอำนาจที่จะสั่งสอน หรือบีบบังคับใครก็ได้ตามอำเภอใจ แต่ความยิ่งใหญ่ที่ฉันระลึกถึงนั้นประกอบไปด้วยข้อกำหนดเบื้องต้น 6 ประการ
ข้อกำหนดข้อแรก คือ การเสียสละ ในคำสอนของทุกศาสนานั้นย่อมมีคำว่า “เสียสละ” ปรากฏขึ้นมาอย่างถ้วนทั่วกัน ในพุทธศาสนาการเสียสละคือสิ่งยิ่งใหญ่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็เคยผ่านการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาแล้วก่อนที่จะตรัสรู้ ในชาติที่สิบคือชาติที่พระองค์ดำรงตนเป็นพระเวสสันดรนั้น พระองค์ก็ทรงเสียสละลูกที่รักและหวงแหนให้กับชูชก ด้วยเหตุนี้เองทำให้พระองค์ได้มาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด ฉันเองก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ฉันจึงยึดถือความเสียสละเป็นแนวทางสำคัญในการประกอบอาชีพ ในความหมายของฉัน คือ การที่ครูเสียสละเวลาส่วนตัวเข้าช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบปัญหาเมื่อเขาร้องขอ และให้ความช่วยเหลือจนสุดความสามารถ ในบางปัญหาครูอย่างฉันอาจไม่สามารถช่วยแก้ไขอะไรได้เลย แต่การที่ฉันได้กล่าวให้กำลังใจหรือแสดงความเห็นใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการช่วยเหลืออย่างหนึ่งเหมือนกัน อย่างน้อยการกระทำนั้นก็ทำให้ลูกศิษย์ของฉันที่กำลังประสบปัญหาอยู่ได้มองเห็นว่าตัวเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก แต่ยังมี “ครู” อย่างฉันคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ตัวเขาอีกคนหนึ่ง สำหรับฉันไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม “คำร้องขอของลูกศิษย์” คือสิ่งสำคัญเสมอ
ข้อกำหนดข้อที่สอง คือ จริงใจ ครูต้องมีความจริงใจให้กับลูกศิษย์เสมอ และความจริงใจนั้นต้องคงอยู่ตลอดไปไม่ว่าช่วงเวลาจะพ้นผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม ตัวอย่างของความจริงใจที่มองเห็นได้ตัวอย่างหนึ่งนั้นมาจากครูดีเด่นท่านหนึ่งในประเทศอเมริกา มิสเตอร์ไมเคิล บี. ไกเซอร์ ครูแห่งนิวอัลบานี มลรัฐอินเดียน่า ที่มักจะพูดคำพูดหนึ่งให้แก่นักเรียนทุกคนในวันแรกที่พวกเขาหรือเธอเข้ามาในชั้นเรียน และคำพูดนั้นก็คือ “ครูห่วงใยพวกเธอในฐานะคนคนหนึ่ง และครูจะทำทุกสิ่งที่ครูมีอำนาจทำได้ เพื่อช่วยให้พวกเธอเป็นผู้ประสบความสำเร็จในวันนี้ หรืออีกยี่สิบปีจากนี้ไป พวกเธอเป็นนักเรียนของครูตลอดชีวิต ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม” และคำพูดนั้นของเขาก็เป็นเสมือนคำสัญญาที่ทำให้เขาเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่จนตลอดชีวิตความเป็นครู เขาใช้เวลากว่าพันๆ ชั่วโมงในสถานที่จัดพิธีศพ โรงพยาบาล บ้านของนักเรียน แม้กระทั่งในคุกด้วยความเต็มใจ เพื่อรักษาคำมั่นของเขาที่ให้ไว้กับนักเรียนทุกคนในวันแรกที่ได้พบกัน
ข้อกำหนดข้อที่สาม เต็มใจ ครูต้องเต็มใจและเต็มที่กับนักเรียนทุกคน เต็มใจที่จะสอนทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะยากลำบากสักแค่ไหนก็ต้องส่งนักเรียนไปถึงฝั่งให้จงได้ ครูผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต่างก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่เห็นว่าดีและมีประโยชน์ต่อศิษย์โดยไม่มีเงื่อนไข
ข้อกำหนดข้อที่สี่ เข้าใจ ความเข้าใจถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ “ความสำเร็จ” ของหน้าที่ความเป็นครู เด็กทุกคนเกิดมามีบุคลิกภาพและสติปัญญาที่แตกต่างกัน แต่ความเข้าใจจะเป็นตัวเชื่อมให้บุคลิกภาพและสติปัญญาที่แตกต่างนั้นเชื่อมโยงถึงกัน และนำพาไปสู่จุดหมายปลายทางที่รออยู่เบื้องหน้า
ข้อกำหนดข้อที่ห้า ยอมรับ การยอมรับในตัวตนของศิษย์คือหลักการที่สำคัญของการเป็นครู การกระทำ อุปนิสัย หรือบุคลิกภาพบางอย่างของศิษย์อาจไม่ตรงใจเรานัก แต่ถ้ามันไม่ส่งผลร้ายแรงหรือกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขาก็ควรปล่อยมันไป ครูบางคนอาจไม่ชอบพฤติกรรมการร้องเพลงในห้องของนักเรียน แต่ถ้าการร้องเพลงของเขาไม่ทำอันตรายใครก็ควรปล่อยไป เพราะการร้องเพลงอาจเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขา ถ้าเรายอมรับได้แม้จะไม่ชอบแสดงว่าเรามีความเข้าใจในตัวเขา จะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือนักเรียนคนหนึ่งอาจจะหัวช้า อ่านหนังสือช้า และต้องจ้ำจี้จ้ำไชเสมอ เราก็ต้องยอมรับความเป็นตัวตนของเขา และหาวิธีที่จะทำให้เขาทำสิ่งต่างๆ ได้ทันนักเรียนคนอื่น แทนที่การดุด่าว่ากล่าวซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ข้อกำหนดข้อสุดท้าย ค้นพบ เมื่อครูยอมรับได้ ครูย่อมค้นพบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ นักเรียนที่ชอบร้องเพลงอาจค้นพบว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ถ้าได้รับการสนับสนุนถูกทาง เขาก็จะเป็นเด็กที่มีความสำเร็จคนหนึ่ง ครูต้องเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีพรสวรรค์ในทางใดทางหนึ่ง และต้องพยายามช่วยเหลือให้นักเรียนทุกคนแสวงหาพรสวรรค์นั้น เพราะนักเรียนทุกคนมีค่าคู่ควรกับเวลาที่ทุ่มเทความรัก ความห่วงใย และความเอาใจใส่ของครูผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน
เส้นทางแห่งความฝันที่จะเป็น “ครูผู้ยิ่งใหญ่” ของฉันมีอยู่อีกยาวไกล และฉันจะยังคงเดินอยู่บนถนนแห่งความเป็นครูนี้ต่อไป ในทุกครั้งที่ออกเดินทางฉันจะนึกเสมอว่า “ครู” คือผู้ชี้ทางในสิ่งที่ควร “ครู” คือ ผู้สรรสร้างกระบะทรายของเด็ก ซึ่งสะท้อนภาพนามธรรมทางความคิดของเขาออกมาเป็นภาพรูปธรรมที่ชัดเจนมีตัวตน “ครู” เป็นแบบฉบับแห่งความเคารพในด้านการสอนและการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง “ครู” คือสิ่งสะท้อนภาพความคิดและต้นแบบที่ดีของศิษย์ จงอย่าลืมว่าเด็กๆ ต้องการครูที่แท้จริงมากกว่าครูที่เก่งตามมาตรฐานของรัฐ และตามความคาดหวังอย่างสูงส่ง จงเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “ครูที่สอนให้แต่ความคิด แต่ละเลยการเข้าถึงจิตใจนั้น พลาดโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล” และนี่คือ “ครูผู้ยิ่งใหญ่” ในความฝันของฉัน แล้ว “ครูผู้ยิ่งใหญ่” ในความฝันของคุณล่ะเป็นแบบไหน!?
ไม่มีความเห็น