กีฬาสีโรงเรียนนกฮูก


กีฬาสีโรงเรียนนกฮูก

            โรงเรียนลูกสาวของผม ถึงแม้ว่าแสนจะเล็ก มีเด็กไม่กี่คน แต่เขาก็จัดการแข่งขันกีฬาสีได้ เชื่อไหมว่าเขาทำได้ และแม่งานนั้นน่าจะเป็นเด็กๆซะด้วย

            แป้งเริ่มมาร่วมงานกีฬาสีตั้งแต่เธออยู่ชั้นอนุบาล 2 ตอนนั้นเขาเพิ่งย้ายเด็กประถมมาอยู่ที่โรงเรียนธำรงฯ ผมคุ้นๆว่า ปีแรกนั้น พี่ๆชั้นประถมต้องกลับมาสอนน้องๆที่โรงเรียนนกฮูกร้องเพลงเชียร์ด้วย แป้งอยู่สีเหลืองครับ และก็ปีแรกอีกเช่นเดียวกันที่เธอแข่งกีฬาวิ่งเก็บของ เล่นไปงงไป น่ารักดีครับ

            การจัดการเรื่องกองเชียร์และนักกีฬานั้นอยู่ที่รุ่นพี่เกือบทั้งหมด พี่ๆเขาจะคัดเลือกคนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เลือกนักกีฬา เลือกเพลงเชียร์ จัดหาอุปกรณ์ต่างๆ เรียกว่าทำเองเกือบทั้งหมดจริงๆ คุณครูก็มีแค่หน้าที่จัดการแข่งขันกีฬา เป็นกรรมการ ก็เท่านั้น ที่สำคัญ เด็กๆทำได้ดีเหลือเชื่อในบรรยากาศที่มีเด็กนิดเดียว ไม่มีวงดุริยางค์เหมือนโรงเรียนใหญ่ที่เขามีกัน

            การแข่งขันกีฬาที่ผ่านมานั้น ผมจะลาพักร้อนครึ่งวันมาดูลูกแข่งกีฬา แต่เมื่อปีที่แล้ว แป้งอยู่ ป. 1 ช่วงที่เขาแข่งกีฬาผมไม่สามารถมาดูลูกได้ เพราะอยู่สิงคโปร์ ก็แค่ฟังเขาเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ เธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย

            ราวเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ ผมทราบว่าทางโรงเรียนจะจัดกีฬาสีอีกครั้ง แป้งก็ยังคงเป็นลีดเดอร์ของสีเหลืองอีกเช่นเคย โดยมีสาวๆคู่ซี้อีก 3 คนร่วมด้วย นั่นก็คือ หนุน หนอยแน่และแสตมป์ แป้งบอกว่าพี่ฝน ป. 3 เป็นหัวหน้าทีม ที่จะช่วยมาดูแลเรื่องการซักซ้อม พี่แดง แม่ของแสตมป์ก็มาเป็นแม่ยกให้ โดยการจัดหาพู่มาแจกลีดเดอร์จนครบทุกคน (อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ทำเอง แต่ไปจ้างเขาทำมาอีกต่อหนึ่ง) ท่าทางลูกสาวจะเอาจริงเอาจังมาก เพราะว่าซ้อมเต้นที่บ้านบ่อยมาก แต่เพลงเชียร์นี่ดูทะแม่งๆเล็กน้อย เพราะมันไม่ค่อยเป็นเพลง เป็นคำพูดเป็นวลีๆมากกว่า เช่น สีเหลือง (ตบ ตบ) เบิกฟ้า (ตบ ตบ) เทวดา (ตบ ตบ) ลงมาเชียร์ (ตบ ตบ) สีเหลืองเบิกฟ้าเทวดาลงมาเชียร์ 1 2 123 12 12 1” ประทานโทษ ไอ้ที่ 1 2 123 12 12 1 นั่นน่ะ ไม่ใช่ปรบมืออย่างเดียว เธอเล่นท่องตัวเลขกันซะดังลั่น อะไรทำนองนี้ และเมื่อผมถือโอกาสเสนอแนะท่าเต้นบ้าง ตามประสาลีดเดอร์เก่า เธอไม่ยอมฟัง เพราะว่าท่าของพ่อ ไม่ตรงกับเพลงที่เขาซ้อม ฮา

            วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2551 คือวันดีเดย์

            แป้งตื่นแต่เช้า ตอนแรกเธอกะจะตื่นมาตอนตี 5 เพื่อมาเตรียมตัว ฮ่า ฮ่า ตื่นๆ เกือบ 7 โมงแล้วลูก เธอก็ลุกขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว กินนัตโตะกับสาหร่าย ไข่ต้ม นม 1 กล่อง ก็พร้อมแล้ว ส่วนคุณจ้าที่ว่าจะไปด้วยกันพร้อมกัน เธอรวนเล็กน้อย ไม่ยอมอาบน้ำ ผมจึงทิ้งไปก่อน ให้เธอตามไปกับแม่ทีหลัง เดี๋ยวจะสายกันไปหมด คราวนี้แหละ เมื่อผมออกไป เธอจึงร้องจ้าละหวั่นลั่นบ้าน

            เด็กๆมาไม่ค่อยเช้าเท่าไหร่ มีนักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่งบอกผมว่า เด็กโรงเรียนนี้ชินกับการมาสายครับ ฮ่า ฮ่า แต่เมื่อ 8 โมงเป๊ะ เขาก็เริ่มตั้งแถวเพื่อเตรียมเดินพาเหรดในทันที น่ารักมากนะครับ เด็กๆอนุบาล เด็กประถม เมื่อยืนกันพร้อมเพรียงแล้วก็ออกเดิน ดุริยางค์ไม่ต้องมีหรอก เพราะเด็กๆต่างพร้อมใจกันออกเสียง ซ้าย ขวา ซ้าย แล้วออกเดินไปพร้อมกัน ทุลักทุเล เดี๋ยวคนถือธงเดินเร็วไปบ้าง เดี๋ยวเดินไปผิดทางบ้าง แต่น่ารักและบริสุทธิ์ที่สุด

            เริ่มงานด้วยการเคารพธงชาติ สวดมนต์ อาจารย์พละกล่าวรายงาน และย่านีของเด็กๆก็เริ่มเปิดงานโดยการกล่าวให้โอวาท แต่ท่านจะกล่าวอย่างไรนั้นผมก็ไม่ทันได้ฟัง เพราะจู่ๆก็เกิดมีเหตุระทึกขวัญขึ้นมา บรึ๊น....โครม เฮ้ย ผมตะโกนในใจ เสียงอะไรวะ รถชนกันแน่เลย แต่ว่าเสียงมันมาจากทางประตูด้านข้างของโรงเรียนซึ่งเป็นซอยตันนี่น่า ผมและผู้ปกครองหลายท่านมองออกไปก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงอีกรอบ บรึ๊น........ ฉับพลันที่ได้ยินเสียง รถ Yaris คันหนึ่งก็ถอยพรวดออกมาแล้วพุ่งเข้าชนบ้านหลังหนึ่งและหายเข้าไป ว่าแล้วทันใจนึกได้ ผมก็วิ่งไปที่ประตูโรงเรียนแล้วปิดมันให้สนิท เพราะกลัวว่ามันจะพุ่งมาชนโรงเรียน ซึ่งลูกๆของพวกเรายืนเข้าแถวกันอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รอได้สัก 10 วินาที ไม่มีทีท่าว่ารถจะโผล่ออกมา ผมจึงวิ่งออกไปยังรถคันนั้นทันที ไม่รู้ว่าใครจะเจ็บบ้างไหม และเมื่อผมเข้าไปใกล้ๆก็พบว่า หญิงเจ้าของรถคันนั้นเธอไม่เจ็บ และเธอก็พยายามสตาร์ทรถอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงตะโกนด่าจากข้างใน ว่าไม่ให้เธอพยายามติดเครื่องรถ ด่าทออย่างรุนแรงว่าจะมาติดเครื่องอีกทำไม แว๊บแรกผมเห็นเด็กตัวเล็กๆนั่งอยู่ด้านหน้าคนขับ ขนลุกซู่ ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอะไรบ้าง ปากก็ตะโกนออกไปว่า อย่าติดเครื่อง ปล่อยมือออก เธอก็ตอบมาว่า ก็จะเอารถออกไปก่อนนี่ ผมก็ยังไม่ยอม จนต้องบอกให้เธอเอามือออกจากรถซะก่อน แล้วผมก็วิ่งไปฉุดมือเธอออกเอง เพราะเจ้าตัวดูท่าทางจะไม่ค่อยเข้าใจนัก กอปรกับเสียงด่าจากข้างใน (ด่าอะไรก็จับใจความยาก ได้ยินมาว่าให้เรียกประกันมาเคลียร์โดยเร็ว) จากนั้นเมื่อเห็นว่าเด็กข้างในไม่มีเลือดก็โล่งใจ แต่สาวน้อยอายุราว 2 ขวบเศษเธอร้องไห้ คงเพราะตกใจ จึงยื่นมือเข้าไปแล้วอุ้มออกมา แล้วส่งให้หม่าม๊าของเธอ

            ได้ความว่า นี่ก็คือบ้านของเธอเอง คนที่ด่าออกมานั้นก็คือสามี (มั้ง) ตอนนี้หายเข้าไปในบ้านแล้ว ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหาบริษัทประกันให้ แล้วก็ให้เขาคุยกันเอง จากนั้นจึงเดินใจสั่นกลับเข้าไปในโรงเรียน เฮ้อ สติ สติ ทำอะไรต้องมีสติ เกิดอุบัติเหตุแล้วยังเกิดซ้ำได้ภายในเวลา 3 นาที อย่างนี้ไม่มีสติ ลูกเจ็บเมียเจ็บไม่สนใจ ด่าเข้าไว้ อย่างนี้เรียกว่าไม่มีสติ น่าสงสารจับจิต

            ผมเข้าโรงเรียนเมื่อย่านีกล่าวจบแล้ว เห็นเด็กอนุบาลราว 10 คนเข้าแถว เขากำลังจะเต้นประกอบจังหวะเพื่อเป็นการเปิดงาน น่ารักมากๆครับ กระดุ๊กกระดิ๊ก บางคนส่ายมาก บางคนแค่กระตุก ไม่มีความพร้อมเพรียง แสดงถึงธรรมชาติของความเป็นเด็กอย่างแท้จริง ชอบมากครับ จบการแสดงด้วยเสียงปรบมือดังลั่น ถึงช่วงนี้คุณแม่คนงามกับเจ้าหญิงตัวน้อยของผมก็มาถึง

            จากนั้นคือการแข่งขันกีฬาและการเชียร์ ลองนึกภาพดูนะครับ คนแข่งก็แข่งไป คนที่นำเชียร์ก็นำร้องเพลงเชียร์ไป เด็กหนอเด็ก คนที่ร้องเพลงดังที่สุดก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์เสียเอง จะมีคนช่วยร้องอีกก็คงเป็นกลุ่มพี่ๆที่คอยตีกลองบ้าง แต่นั่นแหละ น่าสงสารบรรดาลีดเดอร์ กรี๊ดกันสั่นก็ลีดเดอร์ ตะเบงเสียงร้องเพลงก็ลีดเดอร์ ผมไปกระซิบกับแม่ของแพงว่า คราวหน้าต้องขนมะนาวมาให้ลีดเดอร์บ้าง กลัวคอเธอแตก

            เชียร์กันไปได้สักพัก กองเชียร์ก็แตก เพราะมาเชียร์แบบบ้านๆที่ขอบสนามท่าจะสนุกกว่า คนที่ไม่เชียร์ไม่เล่นก็กินขนม ที่พ่อแม่ของนักเรียนบางคนเอามาแจก ส่วนคุณจ้าของผม เธอสบายครับ เพราะพี่แป้งมาคอยดูแลน้องตลอด เธอกลัวว่าน้องจะนั่งคนเดียวบ้าง กลัวน้องร้องไห้บ้าง ท้ายที่สุดก็เอาน้องไปยืนข้างๆเวลาเต้นซะเลย

            วันนี้เดิมที ผมกะจะลาพักร้อนครึ่งวัน เพราะเมื่อวานโทรศัพท์ไปตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่มีคนไข้ฝากครรภ์วีไอพีนัดไว้เลย แต่ราว 9.30 น.ก็มีกริ๊งๆตามมา บอกว่า นัดวีไอพีไว้เพียบ (เมื่อวานระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลเสีย) เลยบอกกลับไปว่า 11 โมงจะเข้าไป ให้เจ้าหน้าที่แจ้งไปยังวีไอพีเหล่านั้นด้วย จะได้ไม่ต้องรอ (ปล. วีไอพีในที่นี้ก็คือ อาจารย์แพทย์รุ่นน้องที่เขาฝากท้องกับผม 2 คน อาจารย์ทันตแพทย์อีก 1 คน พยาบาลที่สนิทสนมอีก 2 คนครับ) จากนั้นก็บอกกับพี่แป้งว่า สงสัยพ่อจะไม่ได้ดูพี่แป้งแข่งวิ่งเปี้ยวแน่ๆเลย เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร ดังนั้นเมื่อถึงเวลาพักเบรกตอน 10 โมง เด็กๆพักกินขนม ผมจึงแบกคุณจ้ากลับบ้านแล้ววิ่งแจ้นไปที่โอพีดีฝากครรภ์ และถึงกับตะลึง เพราะว่ามีคนไข้ตกข้างจำนวนมาก โดยปกติแล้ว คลินิกฝากครรภ์วันของผมจะค่อนข้างว่าง เพราะว่าอาจารย์แต่ละคนไม่ค่อยรับฝากครรภ์พิเศษกันสักเท่าไหร่ แต่นี้มีคนไข้นัดเกือบ 80 คน ว่าแล้วก็คงไม่สามารถพักร้อนได้จริงๆซะแล้ว

            สรุปผลการแข่งขันกีฬาในวันนี้ สีเหลืองได้ถ้วยกีฬาครับ ทีมพี่แป้งวิ่งเปี้ยวชนะสีน้ำเงิน เลยได้เหรียญทองมาห้อยคอ ส่วนสีน้ำเงินได้ถ้วยเชียร์

            กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ผู้ปกครองมีกิเลสต้องมาเชียร์ลูกนา ฮ่าไฮ่ คุณพ่อบุ่นบุ๊นขายไอเดียกับผมว่า ปีหน้าถ้าจะให้ดี เอาผู้ปกครองมาแข่งกันด้วย ดีไหม ตอบได้เลยว่า ดีคร๊าบบบบบ

หมายเลขบันทึก: 203056เขียนเมื่อ 23 สิงหาคม 2008 23:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (31)

อ่านแล้วสนุกสดชื่นไปด้วยเลยครับคุณหมอ

ขอบคุณมากครับคุณหมอที่linkบันทึกนี้ไปที่ email ผม

เด็กๆสนุกมากครับงานกัฬาสีของโรงเรียน น้องหนุนร้องเพลงเชียร์ของคุณหมอที่น้องแป้งนำมาแปลงเนื้อร้องด้วย เพลง "เลือด" พร้อมทั้งทำท่าทางด้วยตอนประโยคแรกที่ว่า เลือด เลือด เลือด พร้อมกับเอามือปาดคอ หนุนก็ถามผมว่าทำไมต้องทำมือปาดคอด้วย ผมก็เลยตอบว่า ปาดคอแล้วเลือดมันก็ออกไง มันก็ค่อนข้างจะดุเดือดอยู่เหมือนกัน แต่เด็กๆก็เข้าใจ เราก็อธิบายไปในเชิงบวกหน่อย อย่าให้มีภาพความโหดติดเรทเกินไป

พี่นนท์หน้างอกลับมาตอนไปรับที่ห้อง อ.ทวีศักดิ์ (คุณพ่อของบอสและบุ๋น)พอดีเด็กๆอยากไปดูงานเกษตร ไปดูไก่ และดูหมูที่น้องๆนักศึกษาเลี้ยง ก็เลยฝาก อ.ทวีศักดิ์ไปด้วยเลย พีนนท์อยู่สีน้ำเงินเป็นนักกีฬาฟุตบอลและแบดมินตัน สาเหตุที่หน้างอก็เพราะว่า ฟุตบอลแพ้ และแบดมินตันก็โดนยกเลิกการแข่งโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมก็เลยบอกให้นนท์กลับไปถามถึงสาเหตุที่ยกเลิกการแข่งแบดกับคุณครูที่โรงเรียนในวันจันทร์ เพราะนนท์เข้าไปรอบลึกๆแล้ว และตัวเค้าเองก็หวังเหรียญทองจากอันนี้มาก กำลังอยู่ในช่วงโอลิมปิกฟีเวอร์อยู่ อุตสาห์นัดกับพี่ ป6 อีกคนหนึ่งว่าให้เข้าไปแข่งกันในรอบชิง

น้องหนุนก็ได้ 1 เหรียญทองก็เอามาโชว์ใหญ่เลย ตอนกลางคืนก็สลบเหมือดเลยทั้งพี่และน้อง

เห็นด้วยครับที่จะให้จัดกีฬาผู้ปกครองควบคู่กันไปเลย เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นการผูกมิตรกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในระหว่างผู้ปกครองของเด็กนักเรียนครับ

อ่านแล้วหนุกจังค่ะ

อยากกลับไปตอนประถมอีก

น้องจ้าฮาดีค่ะ ประมาณอยากไปร่วมหนุกด้วย น้องแป้งเป็นพี่สาวที่น่ารักนะคะ

ส่วนพี่จิ๋มเป็นคุณแม่อดทนค่ะ

นึกภาพตามแล้ว คนเป็นพ่อแม่นี่ต้องใจเย็นสุดๆเลยนะคะ

อ้อ สยองคุณแม่ยาริสมากค่ะ ไม่รู้ว่าแกจำแป้นเบรคกะแป้นเร่งเครื่องผิดหรือว่าใส่เกียร์สลับ น่าสงสาร(ลูก)แกมากค่ะ

อาจารย์จารุวัจน์ คุณพ่อลูกสาม

ถ้าไปร่วมงานลูกบ่อยๆ ก็จะพบว่า มีอะไรสนุกๆและน่าขบคิด มากมายครับ

พี่หนึ่ง

สงสารนนท์จริงๆ แต่นั่นแหละ ผิดหวังบ้าง จะได้ทนๆ (ทนไม้ทนมือ)

และก็จริงอย่างที่พี่แนะนำก็คือ ควรมีเหตุผลของการยกเลิกบอกเด็กๆด้วย แต่ในวงเล็บก็คือ เราไม่ต้องไปยุ่งเขา ให้เขาจัดการตัวเอง (อันนี้พี่คิดเหมือนผมไหม)

เล้ง

เป็นพ่อแม่คน เบรกแตกไม่ได้ครับ หรือถ้าจะมีก๋ให้หยุดอย่างเร็วที่สุด

อันนี้ไม่มีใครสอน เรารักเขา เราก็ทำได้เองโดยอัตโนมัติครับ

ลูกสาวทั้ง 2 ของพี่มันรักกันครับ แต่ก็กัดกันทุกวัน อันนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ว้าวๆๆๆน่ารักจริงๆ แหมไม่ยักกะทราบว่าคุณหมอเป็นเชียร์ลีดเดอร์เก่าด้วย น้องแป้งอนาคตรุ่งน่ะค่ะเนี๊ยะ ชื่นชมความกล้าแสดงออกค่ะ

ครับคุณหมอสำคัญที่สุดคือกระบวนการคิด และลำดับควมสำคัญของมัน ถ้าเด็กๆสามารถคิดและลำดับความสำคัญอย่างเป็นขั้นตอนได้ พวกเค้าก็จะประสบความสำเร็จ และเราพ่อแม่ก็จะได้อานิสงค์จากการกระทำครั้งนี้ไปด้วย แบบว่าไม่ต้องเหนื่อยปากเปียกปากแฉะไหงครับ

ก็ต้องกระตุ้นนนท์เค้าอีกครั้งให้เค้าไปหาเหตุผลของการยกเลิกการแข่งขันแบดมาเค้าจะได้หายข้องใจเอง

สนุกจังเลยค่ะ พี่โอ๋ดีใจมากๆที่ยังมีคนให้ความสำคัญกับกิจกรรมลูกเล็กๆในลักษณะนี้ รู้สึกว่าเป็นฐานชีวิตที่สำคัญของเด็กเลยนะคะ เพราะเราได้เห็นได้รู้ได้คุยให้ลูกรู้ว่า สังคมรอบตัวเป็นยังไง แล้วให้เขาคิดเอาเองบ้าง อย่างที่คุณหนึ่งและอ.แป๊ะบอกนี่แหละค่ะ พี่โอ๋คิดว่าถูกต้องแล้ว เพราะใช้กับ 3 หนุ่มที่บ้านมาตั้งแต่เขาเล็กๆ เราไม่ต้องไปจัดการอะไรให้ลูกแต่เราต้องคอยบอกลูก ให้การสนับสนุนให้เขารู้จักหาเหตุผล อันไหนยอมรับได้ก็รับ อันไหนต้องต่อสู้ก็ต้องทำ เรื่องไหนแก้ได้ควรออกเสียงก็ต้องทำ เรื่องไหนทำไปก็มีผลเสียมากกว่าผลได้ก็ต้องยอมกันไป แต่ให้เรารู้ตัวเองว่า เรายอมเพราะอะไร

ถึงวันนี้รู้ว่าวิธีนี้ทำให้ลูกเป็นคนมีวินัย มีเหตุมีผล เคารพกติกาและรู้การควรไม่ควร เริ่มตั้งแต่วัยน้อยๆแบบนี้แหละค่ะถูกต้องแล้ว พี่โอ๋เชื่อว่า ชีวิตและงานที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่คือการเลี้ยงลูกให้เขารู้จักใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุข ไม่ใช่การหาหลักประกันอะไรที่เป็นวัตถุอย่างอื่นทั้งนั้นให้ลูก

น้องแป้งน่ารักนะ หน้าตาเหมือนใคร น่าจะเหมือนคุณแม่นะคะ

สวัสดีครับครูแอน

ผมเป็นลีดเดอร์เก่า และภูมิใจเสมอที่จำได้ว่า ปีนั้นเราได้ที่โหล่กองเชียร์ครับ ฮ่า ฮ่า

พี่หนึ่ง พี่โอ๋ที่เคารพ

เห็นด้วยทุกประการ ปัญหาของผมก็คือ ลูกสาวเธอไม่ค่อยกล้าเทาไหร่นัก ขี้อาย ม้วนต้วน

เป็นแบบนี้ทั้งคู่เลย ไม่รู้จะแก้ยังไงดี นี่ขนาดพาออกงานแสนจะบ่อย สมัยก่ินผมอุ้มแป้งขึ้นเวทีด้วยซ้ำ

มันก็ยังแหยงอยู่

พี่อุบล

เหมือนผมครับ เหมือนผม

นนท์กับหนุนก็เหมือนกันครับขี้อาย แต่ต้องปล่อยให้เค้าอยู่ในกลุ่มซักพัก ให้ปรับตัว เหมือนเลี้ยงปลาหน่ะคุณหมอ ต้องให้เค้าปรับตัวก่อน ถึงจะโชว์ลีลาได้

พี่หนึ่ง

วันนี้ก็ลืมไปเลยที่จะถามว่า เรื่องแบตมินตัน ตกลงเป็นอย่างไรครับ

น้องนนท์ไปถามคุณครูมาได้ความว่า เพราะว่าลมแรงเลยต้องยกเลิก แต่คุณครูจะจัดแข่งต่อในชั่วโมงพละ นนท์เลยหน้าบานขึ้นมาหน่อย

  • ธุค่ะ..

กีฬาสีของเด็กๆ ดูน่าสนุกนะคะ  ^^  ชวนไปดู กีฬาสี Wachirawit Games ค่ะ   สนุกเหมือนกัน   มีผู้ปกครองร่วมแข่งด้วยค่ะ

ยินดีกับนนท์ด้วยครับพี่หนึ่ง

อันนี้แสดงว่า นนท์กล้าหาญมากนะครับ

สวัสดีครับ เนปาลี

และแล้วก็ได้เห็นของจริง ผู้ปกครองมาร่วมงานด้วย น่ารักมากๆ

หลานเก่งเหมือนอาจริงๆ

เด็กนักเรียนก็น่ารักอยู่นะแต่

ชุดอะ

ทู้เรดมาย

จากโรงเรียน.....(เด็ก)

55555555555555555

ไม่ทุเรศหรอกครับ อย่างน้อยพ่อแม่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปหาชุดให้ลูกใส่ใหม่ ไม่ต้องแต่งหน้าทาปากให้ทุเรศเหมือนที่เห็นๆกันอยู่เสียอีก

โรงเรียนนี้ เด็กๆเป็นผู้จัดการการแข่งขันเองเกือบ 100% คุณครูเป็นแค่กรรมการ แบบนี้ยิ่งไม่ทุเรศทุรัง

ความทุเรศคงอยู่ที่สายตาและสมองของผู้แปลความ อยู่ที่ภูมิหลังของแต่ละคนที่จะให้คุณค่ากับสิ่งใดๆ อันนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมหลงรักโรงเรียนนี้ โรงเรียนที่ไม่สอนให้เด็กทำตัวทุเรศครับ

สนับสนุนความคิดคุณหมอค่ะ ตอนนี้ลูกสาวก็อยู่ที่โรงเรียนนกฮูก ชั้นเตรียม

ชอบข้อความนี้จัง "ความทุเรศคงอยู่ที่สายตาและสมองของผู้แปลความ อยู่ที่ภูมิหลังของแต่ละคนที่จะให้คุณค่ากับสิ่งใดๆ อันนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมหลงรักโรงเรียนนี้ โรงเรียนที่ไม่สอนให้เด็กทำตัวทุเรศครับ"

บางครั้งก็หลงประเด็นเหมือนกัน กับความไม่สวยงามไม่เพียบพร้อมในเรื่องความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ และห้องเรียนที่ดูเก่าๆ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเทอม แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจทุกครั้ง เมื่อไปรับลูก เห็นรอยยิ้ม รับรู้ถึงความสุขของเขา ไม่เปลี่ยนใจแล้วค่ะ ดีเหมือนกันไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร มีความสุขในสิ่งที่มี

สวัสดีค่ะ

แวะมาเยี่ยมชม

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

ขอบคุณค่ะ^^

สวัสดีค่ะคุณหมอ

เด๋วนี้คุณหมอไม่ค่อยมาคุยเหรอคะ

อ่านเรื่องลูกๆแล้วสุขใจแทนค่ะ

ชอบแนวคิดต่างๆของคุณหมอมาก

ตรงใจสุดๆ เพราะจอยก็คิดแนวนี้เหมือนกันค่ะ

ยินดีเช่นเดียวกันครับ ต้นเฟิร์น

สวัสดีครับ ปฐมธิดา ชิโนณะวณิก

เดี๋ยวนี้งานมากไปนิด เดินทางมากไปหน่อย เดี๋ยวต้องรับงานโน้นงานนี้

แต่ก็ยังคงสุขใจ ที่ลูกเรียนในโรงเรียนแบบนี้ ไม่ต้องห่วงมากเกินไป ไม่ต้องพาไปเรียนพิเศษ ไม่ต้องนั่งเฝ้าสอนการบ้าน

ดีครับ

สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณหมอ

หาเจอแล้วว่าพิมพ์คุยกับคุณหมอไว้ในหัวข้อนี้นี่เองหาตั้งหลายวันน่ะค่ะ

ตอนนี้หายเครียดละค่ะ แล้วกำลังจะย้ายหน่วยงานไปหน่วยจัดบูธในช่วงปีใหม่ค่ะ(เดิมเป็นจนท.การตลาดอยู่สาขา)

ออกบูธเสร็จบ่าย2-บ่าย3 ก็กลับมารับลูกได้เลย ....เย้ หวังว่าทุกอย่างคงไม่มีไรเปลี่ยนแปลง

วันนี้อยากถามคุณหมอว่าถ้าเราชวนลูกไปทำกิจกรรมด้วยกันโดยเราไม่ได้บังคับว่าเค้าจะทำหรือไม่แต่เราแค่ให้เค้าลองหลายๆอย่างแค่ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบแต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร มันจะทำให้เค้ารู้สึกโดนยัดเยียดรึเปล่าคะ มันจะทำให้เค้าไม่มีแรงพลักดันที่จะทำอะไรด้วยตัวเองรึเปล่าคะ หรือว่าไม่เกี่ยว แสดงความเห็นหน่อยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะที่มาคุยกัน

ไม่รู้สิครับคุณจอย ผมเองก็ไม่ใช่หมอเด็ก ไม่ใช่จิตแพทย์เด็ก เป็นแค่หมอสูติที่ดูแลเรื่องมดลูกหย่อน ช่องคลอดยานและฉี่เล็ดราดเท่านั้น

แต่เลี้ยงลูกด้วยสัญชาตญาณครับ

เรื่องพาไปลองนั้นเป็นเรื่องเลิศครับ แต่เขาจะลองไหมนั้น เป็น character ของเด็กแต่ละคนครับ บางคนชอบลอง บางคนชอบมองก่อน เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการถูกคุกคามแล้วค่อยลอง

ลูกผมไม่ชอบลองเลย พาไปเที่ยว เธอทั้งสองก็ชอบที่จะแอบดูคนอื่นก่อน เมื่อรู้สึกปลอดภัยแล้วนั่นแหละ จึงจะเริ่มเล่นบ้าง ก็ดีครับ ไม่ค่อยเจ็ยตัว

การที่จะมีแรงผลักดันหรือไม่นั้น พ่อแม่มีส่วนอย่างมากครับ เช่น การเฝ้ามองเขาเล่นโดยไม่ "อย่า ๆ ๆ ๆ ๆ..." นี่ก็เป็นเรื่องดีครับ เรามักจะติดนิสัยกลัวลูกอันตราย จนเฝือครับ

ปล่อยให้เขาลองบ้าง เจ็บตัวบ้าง ลองดูสิครับ อาจจะได้พบความน่าทึ่งของลูกได้นะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท