วันหนึ่งระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่บนถนน ฝนได้เริ่มตกลงมาขณะทั้งคู่ยังอยูไกลจากหมู่บ้าน พวกเขาจึงมองไปรอบๆเพื่อหาที่หลบฝน ทันใดนั้นได้เห็นมีวัดร้างอยู่วัดหนึ่ง ถัดจากวัดนั้นไปเป็นป่าช้า
พวกเขาตรงไปยังวัดร้าง พลันพบว่ามีชายชราคนหนึ่งอยู่ภายในวัดนั้น ในมือของแกถือฆ้องใบเล็กๆอยู่ใบหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงได้ถามแกเกี่ยวกับฆ้องใบนั้น
ชายชรากล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้นำข่าว มีหน้าที่ไปตามประตูบ้านของผู้ที่ใกล้จะตาย เพื่อตีฆ้องนี้สามครั้ง เป็นสัญญานให้รู้ว่าเขาจะต้องตายแล้ว”
สองพี่น้องสะดุ้งตกใจ แต่ครั้นแล้วพวกเขากลับคิดว่า ชายชราผู้นี้คงเป็นคนบ้า
เมื่อได้เห็นการแสดงออกของพวกเขา ชายชราจึงพูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านไม่เชื่อใช่ไหม? เอาละ ข้าพเจ้าจะขอทายว่าท่านทั้งสองจะต้องตายในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ แล้วท่านจะได้เห็นเมื่อถึงเวลานั้น” พูดเสร็จร่างของแกก็หายวับไปต่อหน้า
สองพี่น้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิด และหลังจากฝนหยุดตก พวกเขาได้ออกเดินทางต่อ แต่ก็ยังถูกรบกวนอยู่ตลอดเวลาจากเหตุการณ์ที่เกิด
คำพูดของชายชรายังหนักอึ้งอยู่ในจิตของชายผู้พี่ เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ แต่เพื่ออะไรกัน? ฉันจะต้องตายภายในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว” เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ในที่สุดก็ล้มป่วย
เมื่อถึงวันที่กำหนด เขาป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น เขาได้ยินฆ้องถูกตีสามครั้ง และตายไปตามที่ชายชราได้บอกไว้
คำพูดของชายชราก็หนักอึ้งอยู่ในจิตของชายผู้น้องเช่นเดียวกัน เขาเฝ้าแต่คิดว่า “ฉันต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ แต่เพื่ออะไรกัน? ฉันจะต้องตายภายในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
จากนั้นเขาได้คิดต่อไปอีกว่า “ไม่มีเวลาให้สูญเปล่าอีกแล้ว ฉันต้องจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านี้โดยเร็ว” เรารีบปลดเปลื้องการครอบครองของเขา โดยตะเวนไปในหมู่บ้านเพื่อบริจาคเงินสำหรับกิจการที่มีคุณค่าและเพื่องานของหมู่บ้าน
ชาวบ้านประหลาดใจในความมีใจกว้างของเขา และรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาได้ร่วมกันจัดงานฉลองเพื่อเป็นการให้เกียรติ โดยไปรวมตัวกันที่หน้าบ้านและจัดงานเลี้ยงใหญ่ นักดนตรีก็บรรเลงดนตรีไป ชาวบ้านก็พากันเต้นรำและดื่มอวยพรให้กับความมีเมตตาของเขา ทุกคนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน
ชายชราได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับฆ้อง แกพบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยฝูงชนและเสียงอึกกระทึก แต่แกก็มีหน้าที่ต้องทำ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปให้ใกล้บ้านที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วตีฆ้องขึ้นสามครั้ง
ไม่มีใครได้ยินเสียงฆ้องนั้น ชาวบ้านคิดว่าแกเป็นหนึ่งในนักดนตรี ชายผู้น้องก็มัววุ่นอยู่กับการพูดคุยกับชาวบ้าน รับการของคุณ และสัมผัสมือกับพวกเขา โดยไม่รู้ว่าชายชราก็อยู่ในที่นั้นด้วย
ชายชราได้พยายามแล้วพยายามอีก แต่ไม่ได้ผล ในที่สุดแกก็ท้อแท้ใจ และจากไป
ในอาทิตย์ต่อมา ชายผู้น้องยิ่งยุ่งกว่าเดิม ชาวบ้านได้เห็นเขาเป็นผู้นำหมู่บ้านไปเสียแล้ว ต้องการให้มาทำงานร่วมกับพวกเขาในหลายๆโครงการณ์ บ้างก็ต้องการความคิดเห็นของเขาในเรื่องธรรมดาทั่วๆไป
ในระหว่างการนัดหมาย ชายผู้น้องนึกปลาดใจ “ทำไมชายชราไม่ยอมปรากฏตัวที่ประตูบ้านฉัน? แต่ช่างเถอะ ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรณอย่างนี้ ยังมีชาวบ้านที่ฉันจำเป็นต้องช่วยเหลืออีกมากมาย”
นิทานเรื่องนี้ได้สอนเราหลายเรื่อง ชายชราและฆ้องเป็นสัญญลักษณ์ของความตายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าพิจารณาในแง่นี้ เราสามารถคาดหวังได้เลยว่าชายชราจะต้องมาเยี่ยมเราแน่ในอนาคต เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ช้าหรือเร็วเท่านั้น มันเป็นชะตากรรมที่ไม่มีใครหนีพ้น
คนเราตอบโต้กับสิ่งนี้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน บางคนใช้วิธีเดียวกับชายผู้พี่ คือยอมศิโรราบต่อความตาย เช่นนี้เป็นความกดดันเรา มันปล้นพลังไปจากเราก่อนที่จะตาย มันจะทำให้เราเป็นทุกข์โดยการเจ็บป่วยทางจิตใจ แล้วเป็นผลต่อเนื่องทำให้เจ็บป่วยทางกาย ความเจ็บป่วยทางใจที่ปรากฏได้แก่ ความเบื่อหน่าย ไม่มีชีวิตชีวา ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น อะไรเป็นจุดสำคัญ? กังวลใจไปทำไม?
อีกวิธีหนึ่งในการโต้ตอบกับมันคือทำเหมือนกับชายผู้น้อง เขายอมรับความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของชะตากรรมเช่นเดียวกัน หากแต่เขาได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน โดยถือหลักที่ว่า ชีวิตมีอยู่จำกัด เป็นแรงผลักดันให้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ มากกว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้
จงสังเกตุดูว่า มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น แต่แยกออกเป็นสอง เป็นการแสดงให้เห็นว่า ในทันทีที่ชัดเจน ในบัดดลที่ตระหนักรู้อย่างฉับพลัน สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของคนเราได้ตลอดไป นี่คือธรรมชาติของการรู้แจ้ง ซึ่งปรกติแล้วดูประหนึ่งว่าอยู่ห่างไกลเกินเอื้อมถึง...แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ห่างเพียงแค่หนึ่งการเต้นของหัวใจ
ทรัพย์สมบัติของสองพี่น้องหมายถึง สรรพสิ่งทั้งปวงที่เราได้สะสมมาตลอดชีวิต ไม่ใช่เฉพาะแต่การครองครองทางวัตถุเท่านั้น ยังรวมถึงภาระทางจิตใจที่เราแบกรับเอาไว้อีกด้วย ทรัพย์สมบัติเป็นภาวะยุ่งเหยิงจริงๆ ทั้งในภาวะแวดล้อมและในจิตใจของเรา เปรียบเช่นหนังสือพิมพ์เก่าๆที่เราไม่สามารถโยนทิ้งทั้งๆที่ไม่เคยนำมาอ่านอีกเลย และยังรวมตลอดทั้งความรู้สึกไม่พอใจต่อบางคนตั้งแต่ครั้งในอดีตและต่อๆไป
การกระทำของชายผู้น้อง เป็นการปลดเปลื้องทรัพย์สมบัติของเขาด้วยการบริจาคให้ผู้อื่น ด้วยการให้เงินสนับสนุนเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปเช่นนี้เป็นสัญญลักษณ์ของการปลูกฝังเต๋า เมื่อเราปลูกฝังเต๋า เราจะให้โดยไม่มีเงื่อนไข ดำเนินชีวิตเรียบง่าย และเพ่งความคิดไปที่คนอื่นๆแทนที่จะเป็นตัวเอง ยิ่งทำเช่นนี้ได้มากเท่าไรเราก็จะยิ่งมีพลังทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำให้มีความปิติยินดีกับประสบการณ์ในชีวิต
นี่คือคำสอนที่คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งกล่าวไว้ในบทที่๘๑ ความว่า
คำสอนเหล่านี้เมื่อพิจารณาร่วมกับนิทานที่เล่ามาแล้วจะแสดงให้เห็นถึงสัจจธรรมที่ทรงพลัง การปลูกฝังเต๋าก็เพื่อให้เราสามารถอยู่เหนือเคราะห์กรรม เมื่อชายชราได้ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของชายผู้น้องนั้น ชายผู้น้องไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะเขากำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดอยู่ที่แขกของเขา และเขาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำชีวิตสู่จุดสูงสุด ดังนั้นชายชราจึงไม่มีอำนาจเหนือเขา
สำหรับตัวเราก็เช่นกัน การปลูกฝังเต๋ามิใช่เรื่องราวทั้งหมดของการทำสมาธิอย่างสันโดษและการหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่าเขา มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสังคมด้วยเหมือนกัน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการมีผลกระทบซึ่งกันและกันของผู้คน เป็นความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกเขา และเป็นความรู้สึกถึงพลังที่ทำให้มีชีวิตชีวาอันเป็นผลมาจากการกระทำซึ่งกันและกันของผู้คน เรายิ่งทำเพื่อผู้อื่นมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้พบกับความสำราญใจมากเท่านั้น เรายิ่งให้ผู้อื่นมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้รับความพอใจมากเท่านั้น
เมื่อเราดำรงชีวิตอยู่ตามคำสอนนี้ ชีวิตจะกลายเป็นหมู่คณะที่กระทำสิ่งใดๆร่วมกันตามที่ควรจะเป็น เหมือนดังเช่นการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันที่หน้าบ้านของชายผู้น้อง เมื่อพลังทางลบปรากฏขึ้นที่หน้าประตูบ้าน มันจะไม่มีอำนาจเหนือท่าน เนื่องจากพลังทางบวกที่ท่านได้ทำให้เกิดขึ้นไปขัดขวางเอาไว้ เมื่อไม่มีทางเลือกมันก็ต้องจากไป
ความจริงแล้ว ท่านจะไม่ได้สังเกตุเลยว่า กรรมลบได้มาและได้จากไปแล้วเหมือนดังเช่นชายผู้น้อง ท่านอาจมัววุ่นวายอยู่กับช่วงชีวิตอันกำลังเป็นที่สรรเสริญ !
โดย ภ.ก.เกรียงไกร เจริญโท
ไม่มีความเห็น