จากอดีตจนถึงปัจจุบัน นับวันบทบาทของสถานศึกษาเริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดในความเป็นรูปธรรม คนที่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ หรือการที่คนที่ได้รับการศึกษามากจะได้ทำงานในตำแหน่งสูง ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “เรียนสูง ๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน” ได้กลายมาเป็นค่านิยมของคนในสังคมยุคใหม่ ซึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากสังคมดั้งเดิมที่มีรายได้ต่ำ และด้วยความเชื่อนี้ทำให้สถานศึกษากลายเป็นสถาบันที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับชีวิต จากสังคมประเพณีที่ยากจน กลายเป็นสังคมทันสมัยที่มั่ง
ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจำนวนของผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาจะน้อยลงจนเทียบกับผู้ที่ได้รับการศึกษาไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อแตกต่างกันในระบบการศึกษา เพราะด้วยค่านิยมที่มองว่า สถานศึกษาที่มีชื่อและอยู่มานานจะดีกว่าสถานศึกษาใหม่ สถานศึกษาที่ใหญ่จะดีกว่าสถานศึกษาที่เล็ก และสถานศึกษาของเอกชนมักจะดีกว่าสถานศึกษาที่รัฐบาลจัดสรรให้หลายแห่ง สิ่งเหล่านี้คือค่านิยมใหม่ในระบบการศึกษาไทย ภาพของเด็กหลายร้อยคนที่พยายามสอบเข้าไปในโรงเรียนชื่อดังกลายเป็นสิ่งที่พวกเราเห็นกันจนชินตา เพราะในช่วงที่มาตรฐานการศึกษายังไม่สามารถวัดได้ชัดเจนทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของสมาชิกในสังคมที่ต้องการไปสู่โลกที่ดีกว่า นอกจากนี้ ค่านิยมในการพยายามก้าวไปศึกษาในต่างประเทศ ก็ยังมีอานุภาพที่ดึงดูดใจของสมาชิกในสังคมหลาย ๆ คนที่มีความสามารถเพียงพอ เพื่อก้าวไปถึงสิ่งเหล่านั้นและค้นพบกับโลกใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งการมีสมาชิกในสังคมจำนวนไม่น้อยที่กลับมาจากต่างประเทศ แล้วได้มาทำงานที่ดี ๆ ก็ยิ่งเป็นสิ่งกระตุ้นให้มีการไขว่คว้าเพื่อให้มีโอกาสไปสัมผัสชีวิตเช่นนั้นบ้าง ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในความแตกต่างของการศึกษาในระบบเช่นเดียวกัน
ผมว่าสิ่งเหล่านี้ก็จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าสถานศึกษาทุกแห่งจะมีมาตรฐานการศึกษาที่เท่ากันแล้วก็ตาม เพราะคุณภาพไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนมอง แต่คือค่านิยมต่างหากที่มีอานุภาพต่อการศึกษามาโดยตลอด และไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่รัฐบาลก็ตาม ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนค่านิยมนี้ไปได้เลย จริงไหมครับพี่น้อง
ใครๆก็อยากให้ลูกหลานได้ที่เรียนที่ดีๆ
...
แวะมาอ่านมุมมองด้านการศึกษา
ก็เห็นด้วยในหลายๆอย่างค่ะ
สถานศึกษามีความสำคัญมากในการศึกษา
เปลี่ยนใหม่ เกือบจำมิได้..อิอิ
หนุ่มกว่า
สวัสดีค่ะ
ที่ว่ามาก็ถูก