หน้าต่างโลก The Knowledge Window
ชุด The Temple of Preah Vihear ปราสาทพระวิหาร มหาสถานบนรอยเขตอธิปไตย
ตอน ปราสาทพระวิหาร เทวสถานบนยอดผาศักดิ์สิทธิ์ ๒ จบ
และต่อจากนี้ ผู้เขียนใคร่ขอนำท่านผู้อ่านเข้าเยี่ยมชมความงดงามขององค์ประกอบสำคัญส่วนต่างๆของปราสาทพระวิหาร[๑๑] โดยเริ่มจากพื้นที่ต่ำสุดทางทิศเหนือสู่พื้นที่สูงสุดอันเป็นที่ตั้งขององค์มหางปราสาทชั้นบนสุดทางทิศใต้
โดยเริ่มจาก บันไดหินด้านหน้า เป็นทางเดินใหญ่ขึ้นลงของปราสาททางทิศเหนือ ช่วงแรกมี ๑๖๒ ขั้น ช่วงที่สองมีบันได ๕๔ ขั้น ถัดจากนั้น จะเข้าสู่ลานนาคราชเป็นลานหินพักชั้นซึ่งสองข้างขนาบด้วยนาคราช เจ็ดเศียร ต่อจากนั้นมีบันขึ้นไปยัง โคปุระชั้นที่ ๑ อันมีลักษณะเป็นโถงรูปกากบาท หลังคาจตุรมุข ไม่มีฝาผนัง ซึ่งที่ซุ้มประตูทิศตะวันออกมีถนนเขื่อนหินทำเป็นขั้นบันไดจากไหล่เขาลงสู่เบื้องล่าง เรียกว่า ช่องบันไดหัก[๑๒] อันเป็นช่องทางติดต่อกับพื้นราบเขมรต่ำได้
จากโคปุระชั้นที่ ๑ มีถนนเขื่อนหินยาวถึง ๒๗๕ เมตร โดยริมถนนดังกล่าวด้านตะวันออก มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรียก สระสรง ขังน้ำฝนซึ่งไหลมาจากลาดผา ตอนบน สุดถนนเขื่อนหินอันยาวเหยียดนี้ คือ โคปุระ ชั้นที่ ๒ สูงขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม รูปกากบาท มีมุข ๔ ทิศ โดยประตูมุขด้านใต้มีภาพสลักที่งดงามมากคือ ภาพจำหลักเรื่อง นารายณ์สิบปาง ตอนกูรมาวตารกำลังกวนเกษียรสมุทร และที่ทับหลังมีรูปจำหลัก นารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่มีความสมบูรณ์ และงดงามมาก โดยบนลานชั้นเดียวกันกับโคปุระหลังที่ ๒ นี้ ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นคือ สระหัวสิงห์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทางขึ้นสู่พระมหามณเฑียร
จากถนนยาวกว่า ๑๔๘ เมตรจากโคปุระชั้นที่ ๒ สุดถนน คือ พระมหามณเฑียร (โคปุระชั้น ที่ ๓) เป็นอาคารสถานใหญ่โตกว้างขวางประกอบด้วยอาคารถึง ๕ หลังด้วยกัน สันนิษฐานว่าใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ในยามเสด็จมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ณ ปราสาทพระวิหาร
จากลานหินชั้นที่ ๓ อันเป็นที่ตั้งของพระมหามณเฑียรนี้ มีบันได้ ๗ ขั้นขึ้นสู่ถนนอันมุ่งตรงไปยังอาคารสถานชั้นสูงสุด คือ มหาปราสาท ซึ่งมีปรางค์ประธานอันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ มีอาคารสถานประกอบด้วย โคปุระ ระเบียงคด บรรณาลัย และ หัวใจแห่งปราสาทพระวิหารคือ “ภวาลัย” ซึ่งเป็นพระปรางค์ที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ล้อมรอบด้วยระเบียงคด แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันพระปรางค์ องค์ดังกล่าวได้ทรุดพังลงเสียแล้ว และยอดผาสูงแห่งเทือกเขาดงรัก อันเป็นที่สถิตแห่งปราสาทพระวิหารนั้น มีชื่อว่า “เป้ยตาดี” ซึ่ง ณ หน้าผาด้านหลังมหาปราสาททางทิศใต้ สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของดินแดนเขมรต่ำได้อย่างชัดเจน
และนอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารยังมีสถานที่สำคัญอื่นๆอีก ได้แก่ [๑๓]
สถูปคู่ อยู่ต้นทางก่อนถึงลานหินเบื้องล่าง มีลักษณะเป็นสถูปหินสององค์ ยอดมนคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างในเป็นโพรงสำหรับบรรจุวัตถุสิ่งของแต่ได้มีผู้ขุดค้นไปแล้วเมื่อครั้งที่นักวิชาการจากฝรั่งเศสสำรวจระยะแรกๆ
มออีแดง เป็นบริเวณหน้าผาสูงชันอีกแห่งหนึ่งอันเป็นที่ตั้งหน่วยปฏิบัติการทหารพรานไทย มีภาพสลักนูนต่ำรูปบุรุษสตรีเรียงกัน ๓ องค์ เป็นศิลปะขอมที่เพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ เชื่อว่าเป็นร่องรอยของช่างฝีมือชาวขอมซักซ้อมฝีมือก่อนการสร้างสรรค์ผลงานจริงที่ปราสาทพระวิหาร
สระตราว หรือ ห้วยตราว มีลักษณะเป็นธารน้ำอยู่ตรงบริเวณลานหินเชิงเขาพระวิหารไหลลงงสู่ที่ต่ำผ่านถ้ำใต้เพิงหิน มีผู้สันนิษฐานว่าตำแหน่งที่ลุ่มดังกล่าวคือ บาราย (แหล่งเก็บน้ำ) ที่จะไหลลงสู่พื้นราบ อำเภอกมลาสัย จังหวัดศรีสะเกษ
การค้นพบปราสาทพระวิหาร
“ปราสาทพระวิหาร” ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.๑๙๗๔ หลังจากที่กรุงศรียโสธรปุระของกัมพูชาเสียให้แก่ กองทัพกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒[๑๔] โดยทั้งประเทศกัมพูชาและไทยก็มิได้กล่าวถึงมหาเทวสถานบนยอดเขาดงรักนี้มานานเกือบ ๕๐๐ ปี
ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นายพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์[๑๕] ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมืองลาวตะวันออกเฉียงเหนือ (ลาวกาว)ในขณะนั้น ทรงค้นพบปราสาทพระวิหารเป็นผู้แรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๒ (ร.ศ.๑๑๘) โดยได้ทรงจารึกพระนามและปีรัตนโกสินทร์ศกที่พบว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” ณ ชะง่อนผาเป้ยตาดี แต่หลังจากนั้นเป็นเวลา ๖๐ ปี ปราสาทพระวิหารที่ประเทศไทยค้นพบ ก็ถูกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษา ให้อยู่ภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรกัมพูชา
นับเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีแล้วที่ “มหาเทวสถานศรีศิขรีศวร” หรือปราสาทพระวิหารได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น แม้ในปัจจุบันจะเป็นเพียงซากสิ่งปลูกสร้างที่ไม่สามารถยังประโยชน์ได้เช่นในอดีตอันรุ่งเรืองก็ตาม “ปราสาทพระวิหาร” ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันและสะท้อนได้ว่าในอดีตที่ผ่านมานั้น พื้นที่ในดินแดนเอเชียอาคเนย์ของเราเคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองเพียงใด และหลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับปราสาทพระวิหารไปพอสมควรแล้ว “หน้าต่างโลก - The Knowledge Windows” ตอนต่อไป ผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องราวในครั้งที่ราชอาณาจักรสยามต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสอันเห็นมูลเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียปราสาทพระวิหารจากเขตอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเวลาต่อมา (โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
################
[๑๑] ธิดา สาระยา, อ้างแล้ว, หน้า ๔๗-๙๑ (นอกจากนี้ เพื่ออรรถรสในการทำความเข้าใจองค์ประกอบสิ่งปลูกสร้างของปราสาทพระวิหารแต่ละส่วน โปรดดู “แผนผังโบราณสถาน เขาพระวิหาร” จาก Silpa Bhirasri, A Visit to Khao Pha Viharn (แปลโดย ศ.มจ. สุภัทรดิศ ดิศกุล), พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พลัสเพรส, ๒๕๕๑), แผ่นแทรกที่สอง ) ประกอบ [๑๒] ช่องบันไดหักนี้ ฝ่ายไทยได้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดเขตแดนหลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยปรากฎตาม คำกล่าวปราศรัยของ พลเอกประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ที่ลานปราสาทเขาพระวิหารในวันส่งมอบดินแดนตามคำพิพากษา เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ดังนี้ “...เขตแดนนี้เริ่มจากจุดแรกที่ ช่องบันไดหัก โดยนับระยะห่างจากถนนหินโบราณลงมา ๒๐ เมตร เราจะปักป้ายที่นี่ และแนวเขตจะเล็งเป็นเส้นตรงจากหลักที่ ๑ มาสู่ปลายบันไดนาค ห่างจากจุดกึ่งกลางปลายบันได ๒๐ เมตร เป็นเส้นที่ ๒ แล้วจึงเล็งเป็นแนวตรงไปเป็นหลักสุดท้าย ห่างจากแนวปราสาทในเส้นกึ่งกลาง ๑๐๐ เมตร ตัดตรงลงไปจนทะลุหน้าผาเป้ยตาดี...” (โรม บุนนาค, เขาพระวิหาร ไทยเสียดินแดนครั้งสุดท้าย, ๒๕๕๑) [๑๓] ธิดา สาระยา, อ้างแล้ว, หน้า ๘๗. (ซึ่งสถานที่สำคัญต่างๆดังที่จะกล่าวนี้ อยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทย ), (ผู้เขียน) [๑๔] พระบาทสมเด็จพระบรมราธิราชที่ ๒ หรือ เจ้าสามพระยา ทรงพระปรีชาสามารถในด้านการปกครองและการรบ โดยทรงยกทัพไปล้อมพระนครหลวงของกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๑๙๗๔ นานถึงเจ็ดเดือนจึงสามารถยึดได้ ซึ่งถือว่าเป็นการขยายพระราชอาณาเขตอย่างเป็นรูปธรรมในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น [๑๕] อ่านว่า สัน-พะ-สิด-ทิ-ประ-สง
ไม่มีความเห็น