27 Rejab


คำสั่งใช้ทำละหมาด

27 rejab สำคัญอย่างไร

 
พี่น้องมุสลิมร่วมถือศีลอดสุนัต เพื่อร่วมรำลึกถึงวันแห่งการรับคำสั่งใช้ทำละหมาด วันละ 5 เวลา และร่วมรำลึกเหตุการณ์อิสรออ.และเมียะรอต

อุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์เป็นอุบัติการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สร้างเกียรติประวัติ ให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และประชาชาติมุสลิมทั้งนี้เพราะเหตุการณ์นี้เป็นปาฏิหาริย์ (มัวะยิซาต) ของพระองค์  โดยเฉพาะไม่มีนบีองค์ใดได้รับเกียรติในการขึ้นไปสู่ฟากฟ้าด้วยร่างกายและจิตวิญญาณพร้อมกันไปจนถึงซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา เพื่อเข้าเฝ้าอัลลอฮฺ (..) เช่นนี้มาก่อน และยังถือได้ว่าอุบัติการณ์นี้เป็นการให้สัตยาบัน (มุบัยยิอะห์) ของบรรดานบ ซ่อลาวาตุ้ลลอฮิ อะลัยฮิม ต่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกด้วย ในฐานะที่พระองค์เป็นเจ้านายแห่งบรรดานบีทั้งปวง ถึงแม้ว่าพระองค์ จะเป็นนบีองค์สุดท้ายก็ตาม

อีกประการหนึ่ง อัลลอฮฺ (..) ทรงรอบรู้ดีว่ายุคต่อมาภายหลังจากที่องค์นบีมุฮัมมัดเสด็จสู่วะฝาตไปแล้วนั้นเป็นยุคแห่งวิทยาการ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ได้รับความเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอวกาศ ดังที่เราได้พบเห็นกันมาแล้วว่ามนุษย์สามารถมุ่งทะยานขึ้นสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ

เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาความรู้นั้นหากไม่พึ่งพาอาศัย การเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกอันแท้จริงแล้ว วิชาความรู้นั้นย่อมจะนำไปสู่ความหยิ่งยโสอวดดีและจะต้องพินาศลงในที่สุด เพราะความสำเร็จของนักวิชาการอาจจะทำให้เขานึกเดาเอาว่าตนนั้นมีความสามารถในการพิสูจน์เรื่องนั้นเรื่องนี้ จนเป็นผลสำเร็จได้เอง โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมทางด้านวิชาการแทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ กลับกลายเป็นการอาศัยวิชาการเพื่อทำลายล้างโลกกัน

ฉะนั้น การที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฟากฟ้าด้วยร่างกายและจิตวิญญาณได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทายบรรดานักวิชาการทั้งหลายที่สามารถพิชิตดวงจันทร์และดวงดาวอื่น ๆ ซึ่งเพียงแต่อยู่ในฟ้าชั้นที่หนึ่งเท่านั้น การท้าทายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลดความยโสโอหังของนักวิชาการทั้งหลาย และเป็นการสอนให้พวกเขาได้สำนึกถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ (..) ผู้ทรงยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง

ด้วยเหตุนี้เองอุบัติการณ์แห่งอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ในครั้งกระนั้นจึงเป็นการประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายได้ทราบว่า อำนาจของชาวบนีอิสรออีลภายหลังการอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นหมดลงอย่างสิ้นเชิง เพราะมัสยิดอัลอักซออันเป็นสถานที่ที่บรรดานบี (อะลัยฮิมุซซ่อลาตุ วัสสลาม) หรือชาวบนีอิสรออีลหลายท่านเคยใช้เป็นสถานที่สักการะต่ออัลลอฮฺ (..) อันทรงเกียรติและยิ่งใหญ่นี้ ทำให้มุสลิมในอดีตพยายามอย่างยิ่งที่จะพิทักษ์รักษามัสยิดอัลอักซอเอาไว้ นับตั้งแต่มุสลิมได้พิชิตดินแดนปาเลสไตน์ในสมัยคอลีฟะฮฺองค์ที่สองของอิสลาม คือ ท่านอุมัร บินค็อฏฏ็อบ เป็นต้นมา

ครั้นเมื่อตกมาถึงศตวรรษที่ 11 เมื่อมุสลิมหันหลังให้แก่ศาสนาและมีความแตกแยกกัน จนกระทั่งพวกครูเสดได้ยึดเอามัสยิดอัลอักซอไป ชาวมุสลิมก็ยังสามารถหันมายึดมั่นในศาสนาที่ช่วยสร้างพลังและความสามัคคีให้แก่มุสลิมด้วยการเข้ายึดมัสยิดอัลอักซอกลับคืนมาและขับไล่พวกครูเสดให้ออกไปจากดินแดนมุสลิม ต่อมาเมื่อ ค..1967 มุสลิมได้แตกแยกกันอีก โดยผู้นำมุสลิมบางประเทศซึ่งไปร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายศัตรูของอิสลาม ดังนั้นจึงส่งผลให้มัสยิดอัลอักซออันเป็นมัสยิดสำคัญอันดับสามของมุสลิม ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูอิสลามอย่างชาวบนีอิสรออีลจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และในอนาคตซึ่งไม่รู้ว่าจะนานสักเพียงใดดินแดนศักดิ์สิทธ์อันเป็นที่ประดิษฐานมัสยิดอัลอักซอของมุสลิมจึงจะกลับคืนมาสู่เจ้าของเดิมอีกวาระหนึ่ง

สำหรับอุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ทั้งสองนี้เกิดขึ้นในคืนเดียวกันด้วยระยะเวลาอันสั้นก่อนที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเสด็จอพยพจากนครมักกะฮฺไปสู่นครอัลมะดีนะฮฺประมาณหนึ่งปี ซึ่งอุบัติการณ์ดังกล่าวนี้อัลลอฮฺ (..) ทรงกำหนดให้มีขึ้นเพื่อจะได้ทรงทดสอบว่าผู้ใดบ้างที่จะเป็นผู้ศรัทธาเชื่อมั่นต่อพระองค์อย่างแท้จริง และเพื่อจะให้พระนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ได้ประจักษ์แจ้งในสัญญาณต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสำแดงให้เห็นถึงเดชานุภาพอันเกรียงไกรไพศาลของพระองค์ ดังหลักฐานจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานภาคภาษาอาหรับที่ผู้เรียบเรียง ได้อัญเชิญมากล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่าพระองค์ได้มีกระแสพระบรมราชโองการไว้ในซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ  (17 : 1)  ความว่า

 

         มหาบริสุทธิ์แด่อัลเลาะฮ์เจ้า ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์ออกเดินทางท่ามกลางยามรัตติกาลจากมัสยิดิลฮะรอมไปสู่มัสยิดิลอักซอ อันเป็นสถานที่ที่เรา (อัลเลาะฮ์) ได้ประทานความมีบารอกัต (ความจำเริญอันมีสิริมงคล) ไว้ ณ รอบ ๆ อาณาบริเวณนั้น ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้บ่าวของเรา (มุฮัมมัด) ได้ประจักษ์แจ้งถึงสัญญาณต่าง ๆ ของเรา แท้จริงเรานั้นคือผู้ทรงไว้ซึ่งการได้ยินและรู้เห็นเสมอ

         

จากพระโองการข้างต้นองค์พระผู้อภิบาลเจ้าได้มีพระราชดำรัสถึงประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับอุบัติการณ์แห่งคืนอิสรออ์และเมียะรอจญ์ของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งจะขอนำมากล่าวไว้โดยสังเขป ดังต่อไปนี้ .....

 

ในคืนวันจันทร์ที่  27 เดือนรอยับ ก่อนฮิจเราะห์ศักราชหนึ่งปี ระหว่างที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังบรรทมหลับอยู่ระหว่างหินโค้งที่บัยตุ้ลเลาะห์ กับท่านฮัมซะห์ ผู้เป็นอา  และท่านยะฟัรบุตรของท่านอะบีตอเล็บ ได้มีทูตสวรรค์ (มะลาอิกะห์) สามองค์ คือ ท่านญิบรีล ท่านมีกาอีล และท่านอิสรอฟีล ได้มาอัญเชิญพระวรกายของพระศาสดามายังบ่อน้ำซัมซัมแล้ววางพระองค์ลง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มถวายการผ่าตัดพระอุทรของพระองค์ตั้งแต่ยอดพระทรวง (หน้าอก) มาจนถึงพระนาภี (สะดือ) แล้วใช้น้ำซัมซัมชำระล้างดวงพระหทัยของพระองค์ พร้อมทั้งได้บรรจุความรู้และความสว่างไสวด้วยสติปัญญา และความศรัทธา   อย่างแน่นแฟ้น พร้อมด้วยจรรยามารยาทอันดีงามไว้ในพระอุระ (ทรวงอก) ของพระองค์             แล้วประสานรอยผ่าตัดนั้นดังเดิม โดยที่ไม่มีรอยแผลเป็นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นท่านญิบรีลจึงประทับตราพระราชลัญจกรอันแสดงถึงพระราชอิสริยยศแห่ง ปัจฉิมศาสดา ลงเหนือพระอังสา (บ่า)ทั้ง  ของพระองค์ 

       

หลังจากนั้น ท่าน ญิบรออีล ได้นำสัตว์สวรรค์ที่มีกลิ่นหอมดังกลิ่นของชะมดเชียง          ซึ่งเรียกว่า บุรอก  พร้อมด้วยอานและบังเหียนทองคำอันสวยงามมาถวายพระองค์ สำหรับใช้เป็นพระราชพาหนะนำเสด็จฯ สู่สรวงสวรรค์เพื่อเข้าเฝ้าฯ องค์พระผู้เป็นเจ้า

            สำหรับ บุรอก นี้ เป็นสัตว์สวรรค์ที่มีผิวพรรณวรรณะอันขาวนวลบริสุทธิ์ หน้าผากของมันจารึกด้วยคำปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์  และท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเป็นศาสนทูตของพระองค์  มีรูปร่างสูงกว่าลา และต่ำกว่าฬ่อเล็กน้อย    ความเร็วของมันประดุจสายฟ้าแลบ กล่าวคือ ก้าวหนึ่งของมันจะเป็นระยะทางไกลสุดสายตาหูทั้งสองข้างสั่นกระดิกอยู่ตลอดเวลาอันแสดงถึงความสมบูรณ์ของมัน เมื่อมันก้าวขึ้นภูเขา เท้าหลังทั้ง ข้างจะยาวกว่าเท้าหน้า และเมื่อมันก้าวลงจากภูเขา เท้าหน้าจะยาวกว่าเท้าหลัง ได้ส่วนกันพอดี โดยหลังของมันจะอยู่ในระดับขนานกับพื้นโลกเสมอ  จึงทำให้ผู้ที่ประทับอยู่   บนหลังของมันรู้สึกสบายโดยไม่ระคายเคือง นอกจากนี้บุร็อก ยังมีปีกอีก ข้าง ติดอยู่ที่สะโพกของมัน เพื่อช่วยเป็นเครื่องเพิ่มอัตราความเร็วให้ฝีเท้าในขณะที่วิ่งอีกด้วย

ท่านญิบรออีลได้ทูลเชิญท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมขึ้นประทับบนหลังบุรอก เพื่อเดินทางต่อไป โดยทางด้านขวานั้น มีท่านญิบรีลคอยอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดเวลาส่วนทางด้านซ้ายนั้นมีท่านอิสรอเฟลคอยเป็นผู้ถวายอารักขา พร้อมด้วยท่านมีกาอีลซึ่งคอยถือบังเหียนอยู่ ณ เบื้องหน้า เพื่อนำพระศาสดาเสด็จพระราชดำเนินไป

            เมื่อทูตสวรรค์ทั้งสาม ได้นำเสด็จไปถึงเมืองมาดินะห์ซึ่งอุดมไปด้วยต้นอินทผลัม           ก็ได้ทูลเชิญพระองค์ลงละหมาด 2 ร่อกาอัต แล้วเสด็จต่อไปถึงเมืองมัดยาน ญิบรีลก็ทูลเชิญให้พระศาสดาหยุดละหมาดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ท่านศาสดามูซา (โมเสส)ได้เสด็จหนีกษัตริย์ฟิรอูน (ฟาโรห์) มาจากประเทศอียิปต์ และได้มาพักอาศัยภายใต้ร่มไม้แห่งนั้น ต่อมาบุรอกก็นำพระองค์เสด็จมาถึงภูเขา ตูรซีนาอฺ  ซึ่งพระศาสดามูซา (อ.ล.) ได้เคยมีพระราชปฏิสันถาร (สนทนา) กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ณ ที่แห่งนั้น ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ทรงหยุดลงละหมาด 2 ร่อกาอัต ตามคำทูลเชิญของท่านญิบรีล แล้วจึงเสด็จฯ ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่งจนได้ทอดพระเนตรเห็นปราสาทของกษัตริย์ซีเรีย ซึ่งในตอนแรกพระองค์ก็ยังไม่ทรงทราบว่า เป็นปราสาทของผู้ใด เมื่อทรงหยุดละหมาด 2 ร่อกาอัตในที่แห่งนั้นและเสด็จฯต่อไปแล้วท่านญิบรีลจึงกราบทูลให้ทรงทราบว่าสถานที่นั้นคือ บัยตุ้ลละห์มิ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระนางมัรยัม (มาเรีย หรือมาเรียม) ทรงมีพระประสูติกาลท่านบีอีซาอะลัยฮิสสลาม  

            ในขณะที่บุรอกกำลังพาท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเหาะเหินเดินอากาศอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงประสบกับญินตนหนึ่งนามว่า  อิ๊ฟรีด  มันได้ถือคบเพลิงสีแดงสว่างจ้าสะกดรอยตามพระองค์มา         ท่านญิบรีลจึงได้สอนพระคาถาให้ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมบทหนึ่ง ดังต่อไปนี้

 

 

 

               أَعُوْﺫُبِوَجْهِ الْكَرِيْمِ وَبِكَلِمَاتِ  اللهِ التَّامَّاتِ الَّتِىْ لاَيُجَاوِزُهُنَّ بِرٌّوَلاَفَاجِرٌمِنْ شَرِّمَايَنْزِلُ مِنَ السَّمَاءِ وَمِنْ شَرِّمَا يَعْرُجُ  فِيْهَا وَمِنْ شَرِّمَا ﺫَرَ أَﰱﹺاْلأَرْضِ وَمِنْ شَرِّمَا يَخْرُجُ مِنْهَاوَمِنْ فَتَنِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ وَمِنْ طَوَارِقِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِإِلاَّطَارِقًايَطْرُقُ بِخَيْرٍيَارَحْمٰنُ  O    

       

ซึ่งมีใจความว่า โอ้องค์พระเป็นเจ้า ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เดชานุภาพแห่งพระองค์       แผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ  ข้าพระองค์ใคร่ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้รอดพ้นจาก     ความชั่วร้ายและความพินาศทุกประการที่จะบังเกิดขึ้นในพื้นพิภพนี้  ทั้งในเวลากลางวัน      และกลางคืน  เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงให้บังเกิดมานั้น จะเป็นสิ่งดีงามและเลอเลิศทั้งมวล โอ้ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ถ้วนหน้าขอพระองค์โปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ด้วยเทอญ
 

  เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทรงอ่านพระคาถาบทนี้แล้ว บัดดล ญินตนนั้นก็ขมำหน้าล้มลงด่าวดิ้นสิ้นใจตาย พร้อมกับการดับลงของคบเพลิงที่ลุกโชนอยู่นั้นเอง

            ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เสด็จฯ ต่อไป จนได้ทรงพบกับพวกนักรบทางศาสนา ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ตอบแทนความดีของพวกเขาถึง  700  เท่า และได้ประสบกับกลิ่นหอมของนางมาซีเตาะห์    ซึ่งไม่ยอมเชื่อว่ากษัตริย์ฟิรอูน (ฟาโรห์) เป็นพระเจ้า  แต่เชื่อว่าอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น  ดังนั้นฟิรอูนจึงทรงลงพระอาญาแก่นาง โดยให้กระโจนลงไปในกระทะทองแดงซึ่งเต็มไปด้วยน้ำที่กำลังเดือดพล่านจนกระทั่งเสียชีวิตทั้งครอบครัว

            ต่อมาท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไป จนพบคนพวกหนึ่งที่ทอดทิ้งการละหมาดซึ่งกำลังนำเอาก้อนหินทุบศีรษะของตนเองอยู่ และได้พบกลุ่มผู้ที่หลีกเลี่ยงการออกซะกาตอยู่ในเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดแต่เพียงทวารหน้าและทวารหลังกำลังถูกวิ่งไล่ต้อนอยู่ในท้องทุ่งเสมือนแพะและอูฐ  ซึ่งพวกเขาต่างก็เที่ยวแย่งกันกัดกินต้นไม้หนามที่มีรสขื่นขม จากนั้นจึงได้พบกับพวกที่ชอบทำซินา (ผิดประเวณี) กำลังกินเนื้อดิบที่มีกลิ่นเหม็น พร้อมทั้งได้พบกับพวกที่ชอบกินดอกเบี้ยกำลังแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำเลือดที่ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ซึ่งมีผู้เอาก้อนหินขว้างปาเข้าไปในปากของคนพวกนั้น และได้พบพวกที่มีความละโมบหวังแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ในหน้าโลกดุนยา โดยมิได้ระลึกถึงความตาย ซึ่งพวกเขากำลังพยายามที่จะแบกฟืนจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถจะแบกได้  ตลอดจนได้พบกับเหล่าผู้รู้ที่ชอบแนะนำสั่งสอนให้มวลมนุษย์ปฏิบัติตามหลักการศาสนา แต่ตนเองหาได้ปฏิบัติตามคำสอนดังกล่าวไม่ ซึ่งพวกเขากำลังใช้กรรไกรเหล็กตัดลิ้นตัดริมฝีปากของตนเองอยู่ตลอดเวลา

หมายเลขบันทึก: 197421เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2008 08:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:21 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท