สร้างสานเครือข่ายชุมชนคนพอเพียงในเครือข่ายเครือญาติ(บันทึกต่อ)


พันธมิตร มิตรพันธะ ภูมิต้านทาน แห่งชีวิตที่พอเพียง

 ก่อนจะบันทึกฉบับนี้ นั่งดูละครทีวีที่หลายคนบอกว่าน้ำเน่า เมื่อดูแล้วละครมันก็คงเป็นละคร มันก็สนุกดี ซึ่งความสนุก มันอยู่ที่ใจเราจริงๆ     เสร็จจากดูละคร เปิดเนท เลือกเอเอสทีวี ฟังเวทีพันธมิตร  และ   สลับกับดูรายการ ช่อง เอ็นบีที ฟัง นปก. พูดจา  เราสามารถดูหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมๆกัน  เพราะอะไรละ เพราะเรามันคนธรรมดานี่เองที่ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เพียงแต่อยากรู้ว่า เขาทำอะไรกัน และทำอย่างไร มีวัตถุประสงค์อะไร  จึงทำให้ตาดูหูฟังได้ทุกรูปแบบ และไม่เครียด

    วันนี้เครือข่ายเครือญาติอีกแล้ว อะไรกันนักกันหนา  วิธีคิดหลักเหตุหลักผล จริงๆแล้ว ก็ต้องคิดจากเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละ   ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่คนเดียว อยู่แต่กับบ้าน มันก็ไม่ค่อยรู้อะไร แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันครับ  บัดนี้คนที่นั่งอยู่คนเดียวหน้าจออินเตอเนท ก็สามารถที่จะรับรู้เหตุการณ์ต่างๆมากมาย  แต่คิดว่ามันเป็นเพียงภาพกับเสียงที่ไร้ความรู้สึกญาณสัมผัส  กลางเดือนที่ผ่านมา กลับไปทำบุญครบรอบปีพ่อแม่ ร่วมกับน้องๆ ที่เกาะพะงัน ก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่ไป คือภาพปัจจุบันกับมโนนึกที่ฝังลึกอยู่ในอดีต  ในสิ่งที่เราเคยสัมผัสตั้งแต่ ช่วงอนุบาลคือช่วงที่เริ่มจำความได้ว่า พื้นที่ตรงกลางเกาะพะงัน เป็นทุ่งนา มีการทำนาข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผัก ในธรรมชาติ มีปลาดุก ปลาไหล ปลาน้ำจืดมากมาย   แต่ ณ วันนี้ กลายเป็นที่รกร้าง รอคนไปซื้อที่ดิน หรือเจ้าของมรดกเดิมโยกย้ายภูมิลำเนา ไปอยู่ต่างถิ่น  ภาพที่รำลึกสมัยตั้งแต่ยังเยาว์วัย  ความบริสุทธ์แห่งธรรมชาติ   ทุกหมู่บ้านบนเกาะจะมีมะพร้าว มากมาย มีผลไม้ที่ปลูกไว้บริโภคกันเอง ที่เหลือก็เอื้อเฟื้อเจือจาน แบ่งปันกันกินในเครือข่ายเครือญาติ บริเวณชายทะเล ทุกหาด ทุกเว้า ทุกอ่าว ใครก็ลงไปเล่นน้ำทะเล ลงไปหาหอยหาปู มาต้มกินกันอย่าง สนุกสนาน ด้วยความอิสระเสรี  แต่อนิจจา วันนี้ เราจำได้แต่เพียงว่าที่ดินบางแห่ง เคยเป็นของญาติท่านใดที่เราเคยรู้จัก   เมื่อมองหาทางลงสู่ชายหาดริมทะเล ก็พบแต่อาณาเขตที่บ่งบอก ความเป็นเจ้าของ  ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้าไปเพ่นพ่าน   สิ่งเหล่านี้ขีดขวาง ในการลงไปเดินชายทะเล  แบบอิสระเสรีอย่างสิ้นเชิง  หากพูดแบบคนปัจจุบัน ก็จะพูดกันว่ามันเป็นความเจริญที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแต่การเปลี่ยนแปลงแบบตัดขาดการสานต่อเชื่อมโยงความเป็นจริงของอดีต   ขาดสิ่งที่เป็นสื่อถ่ายทอดความหลังสู่คนรุ่นไหม่  คำตอบที่อยู่ในใจของตัวเอง มันบอกว่า ความเจริญแบบวันนี้มันคืออะไรกันแน่

    เป็นธรรมดาที่เมื่อเสร็จภาระกิจ ก็ต้องพบปะเยี่ยมเยียนญาติๆ เพื่อนฝูงเก่าแก่ สนทนาปราศัยกัน หากเป็นกลุ่มวัยทำงานก็จะคุยกันแต่เรื่องยอดเงินรายได้ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวกับการทำงานบริการ  ซึ่งมีทั้งช่วงบูมคือช่วง ที่คนเยอะ  กับช่วงอัตคัดคือช่วงที่คนไปเที่ยวน้อยมาก    ผู้สูงวัยก็จะคุยเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วย  เรื่องค่าครองชีพที่สูงยิ่ง   เพื่อนๆที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น สท. สอบต. ก็คุยเรื่องทิศทางการพัฒนา   แบบนำเสนอภายใต้กรอบความคิดที่ใหญ่โตกว้างขวาง  เพื่อคะแนนสมัยหน้าว่างั้นเถอะ  แต่เรามันคนธรรมดาเลยคิดแบบธรรมดาอีกว่า ณ วันนี้สินค้าที่ลงไปสู่เกาะนั้นไปจากบนฝั่งแทบทั้งสิ้น พืชผัก ข้าวปลา อาหาร คิดเป็นรายสัปดาห์ จะต้องขนเงินไปให้ถิ่นอื่นสัปดาห์ละกี่บาท ก็คิดดูซิแม้แต่ไส้กล้วยป่า ยอดเขลียง พืชผักทุกประเภท ต้องซื้อจากบนฝั่งเกือบร้อยเปอร์เซนต์ เคยนั่งวิเคราะห์กับเพื่อนว่าเฉพาะรถหาสินค้าเจ้าประจำที่วิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างเกาะพะงัน กับบนฝั่งเพื่อไปหาอาหารสด มาเลี้ยงคนบนเกาะ  เมื่อสอบถามราคาสินค้าที่ซื้อมา มูลค่าสินค้าแต่ละคันต่อเที่ยว รวมทั้งหมด 3- 4 คัน เป็นเงินสัปดาห์ละเท่าไร ก็หลักแสนบาทเข้าไปแล้ว แล้วเมื่อมองศักยภาพในการจัดการเพื่อเพาะปลูก เพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นในการบริโภคเหล่านี้ เพื่อบริโภคกันเอง   ยามที่ได้พูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ผู้สูงวัย สิ่งที่ท่านปรารภก็คือ คำว่าคนสมัยนี้มันไม่สนใจสิ่งเหล่านี้กันอีกแล้ว แต่ถ้าพูดคุยกับคนวัยทำงานก็ได้รับการปรารภว่า ดินไม่ดี ไม่มีปุ๋ย ขาดน้ำ ทำไปก็ขาดทุน ถ้าไปนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนราชการ ก็จะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ชาวบ้านเขาไม่สนใจหรอก พูดไปก็เท่านั้นแหละ  เรายังจำได้ชัดเจนว่าสมัยที่เราเรียนโรงเรียนเล็กๆไกล้บ้าน การบ้านที่สนุกที่สุดก็คือวิชาปลูกพืชผักสวนครัว คุณครูท่านให้เราไปปลูกผักอะไรก็ได้ 1 ร่อง พวกเรากลับไปทำการบ้าน สิ่งที่เราประทับใจก็คือ แม่ลงมาช่วยเราขุดดินแล้วบอกว่าบนยกร่องต้องทำให้ดินร่วนให้หมดทั้งร่องนะ  แล้วฝังเม็ดถั่วฝักยาวอย่างไร พวกเราทำการบ้านจนแล้วเสร็จ สิ่งที่ประทับใจเข้าไปอีกก็คือพ่อลงมาช่วยรดน้ำให้ เมื่อเราลืม และคอยเตือนว่าผักที่เราปลูกจะขาดน้ำไม่ได้ ขณะเดียวกันแม่ก็ขยายพื้นที่ปลูกผักอย่างอื่นไกล้เคียงกับการบ้านของเรา ทั้งพริกขี้หนู มะเขือ กล้วยน้ำว้า มะละกอ แล้วจำได้ว่า ช่วงระยะเวลา 2 เดือน คุณครูไปเยี่ยมที่บ้านเพื่อตรวจการบ้าน สัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพ่อแม่กับคุณครูเรามองดูด้วยความประทับใจยิ่งนัก และเมื่อวันที่เราคิดว่าสนุกสนานอีกก็คือวันที่ คุณครูและผู้ปกครองนัดพบปะสังสรรกันที่ศาลาหมู่บ้าน ทำอาหารอันประกอบด้วยพืชผักที่เกิดจากการบ้านมาร่วมกันรับประทาน พวกเราเหล่านักเรียนก็กินและเล่นกันสนุกสนาน  แวบที่คิดหวนไปถึงอดีต ทำให้คิดว่าถ้าหากองค์กรส่วนท้องถิ่นสามารถที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากที่นาหรือที่รกร้างว่างเปล่า จัดการส่งเสริมให้เกิดการผลิตสิ่งที่คนในเกาะจำเป็นต้องบริโภค อย่างมีคุณภาพ ก็คงจะลดค่าใช้จ่ายในการนำสินค้าเข้า  และจะเพิ่มมูลค่าของสถานที่อีกมากมาย รวมถึงสายตาของนักท่องเที่ยวมีระดับ  แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้สร้าง

   ตอนกลับบ้าน ลงเรือเฟอรีพร้อมกับเพื่อน ก่อนลงเรือเห็นนักเรียนวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งแต่งเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง อย่างเรียบร้อยน่ารัก  พ่อแม่ตามมาส่งก่อนลงเรือ ลูกๆไหว้ลากันเสร็จสรรพ เราก็ไม่ได้สนใจนักเรียนกลุ่มนั้นอีก แต่ขณะที่นั่งดูทีวีในห้องชุดวีไอพี บนเรือ เพลินๆ เพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน สะกิดให้ดูกลุ่มเด็กนักเรียนที่นั่งแถวเบาะด้านซ้าย เมื่อหันไปดูก็เห็นกลุ่มนักเรียนหญิงดังกล่าวได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยเป็นชุดสวยตามใจชอบ และบางคนก็นำเอาโน้ตบุค มาเปิดแชทกันสนุกสนาน บางคนก็โทรศัพท์หาแฟนและขณะพูดกันก็ปรากฎรูปในเนทเป็นรูปผู้ชายนอนกอดก่ายกับผู้พูดก็คงเป็นคนที่กำลังแชทกันอยู่มั้ง  เราแอบมองลอดแว่นน่ะ เพื่อนที่นั่งไปด้วยบ่นพึมพัมอยู่ตลอดเวลา  จับใจความได้ว่า โอ้โฮเด็กสมัยนี้มันอย่างนี้เชียวหรือ  ก็เลยบอกเพื่อนไปว่าเอ็งเอ๋ย แกเกิดเมื่อปี พ.ศ. อะไร แล้วตอนแกอยู่ในวัยอนุบาล  แกเห็นอะไรบ้าง แกเคยเห็นแต่วิทยุเอเอ็ม ทีวียังไม่มีเลย อย่าว่าแต่คอมพิวเตอร์ ญาติผู้ใหญ่ของแกมีกี่คน แกก็รู้จักหมด เวลาไปโรงเรียนเรียนหนังสือผู้ใหญ่คนใหนให้สตางค์แกไปกินขนมที่โรงเรียนด้วยความเอ็นดู   แกก็น่าจะยังจำได้  แล้วลูกหลานแก ที่นั่งอยู่นี่ แกก็รู้ว่าอายุมันเท่าไหร่ ไอ้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าแกนั่น ข้าว่าสูงสุดไม่เกิน 16 ปี  แล้วแกลองนับช่วงเวลาดูซิเพื่อน  ว่าตอนที่พวกเขาเกิดนั้น ปีพ.ศ.อะไร คิดให้ดีน่าจะอยู่ ที่ช่วงปี 2534-2536  ช่วงนั้น  ราคาที่ดินเริ่มบูมมาก และบูมมาตั้งแต่สมัยที่ท่านชาติชาย ชุณหวัน เป็นนายกรัฐมนตรี  แล้วช่วงนั้นไม่มีใครคุยอะไรมากไปกว่าเรื่องราคาที่ดิน และช่วงเวลานั้นลูกหลานเหล่านี้เพิ่งจะลืมตาดูโลก แล้วขณะนั้นเครื่องเสียงเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวกทุกประการ มันมีพร้อมแล้ว และช่วงที่เด็กเหล่านี้อยู่ในวัยบริสุทธิ์ หรือวัยผ้าขาว ช่วงนั้นก็คงจะเป็นช่วงปี  2537 - 2542  แกลองนึกดูซิว่า สังคมในช่วงนั้นผู้ใหญ่ได้ใส่อะไรลงไปในสมองที่บริสุทธิ์ของเด็กเหล่านี้บ้าง  ผู้ใหญ่จะคุยแต่เรื่องธุรกิจ เรื่องการหาเงิน ทั้งเรื่องเงินกู้ที่สถาบันการเงินปล่อยกู้กันเพลิดเพลิน และช่วงสภาวะเศรฐกิจทรุดเมื่อปี 2539-2540 แล้วช่วงนั้น พูดกันเรื่องอะไรอีกละ นอกจากเรื่องเงินฝืดต่อจาก 2540  ก็คุยกันเรื่องการเมือง สลับกับเรื่องเศรษฐกิจ  แล้วลูกหลานที่นั่งอยู่เหล่านี้  เริ่มเข้าเรียนประถมศึกษาเมื่อประมาณ ปี 2544  และก็เรียน ป. 1 เอง แล้วปีนั้น คุณทักษิณ ชิณวัตร  เป็นนายก การปฏิรูปการศึกษาถูกพูดแล้วพูดอีก ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา และต้องอย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มศักยภาพเด็กไทย  ลองตรองดูให้ดี   ว่าช่วง 2545 จนถึงปัจจุบัน ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานี่แหละ มันเกิดอะไรบ้าง ในกระบวนการพัฒนา แกรู้สึกบ้างใหมว่าค่านิยมใหม่ของพ่อแม่เด็กเกิดขึ้นคือลูกต้องรู้เรื่องคอม  แล้วมาถึงช่วงปี 2548 จนถึงวันนี้ ระยะ 2-3 ปี ที่ผ่านมา แกลองมองภาพสังคมซิ ว่ามันเป็นอย่างไร เด็กวัย ประถมมีเพศสัมพันธ์ มีลูก เด็กวัยรุ่นติดเกมส์ และที่สำคัญคือการมีเพศสัมพันธ์โจ๋งครึ่ม ไม่สนใจอะไร สัณชาตญานดิบไม่มีการควบคุมโดยสัญชาติญานมโนธรรม ทำให้มีอารมณ์รุนแรงควบคุมไม่ได้ เกิดอาชญากรรมมากมาย 

       เพื่อนนั่งฟังเงียบ แล้วก็ถามขึ้นว่า แล้วแกไปโทษคอมพิวเตอร์หรือไงว่ะ เลยตอบไปว่าไอ้บ้าเอ้ย คอมพิวเตอร์มันสมองกลก็จริง แต่มันไม่ได้ทำให้คนเปลี่ยนแปลงหรอก  ย้อนกลับไปเมื่อก่อนปี 2540 อีกครั้งซิแล้วจะเห็นว่า ขณะนั้น วีดีโอเทป ขายดี  แล้วก็ธุรกิจที่แสดงถึงความเฟื่องฟูทางการเงินก็คือ คาราโอเกะ ห้องอาหาร บาร์ และไนท์คลับ  เด็กๆ มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่ช่วงนั้นไอ้หนุ่ม หรือแก่ พอเมาได้ที่ ก็ต้องไปต่ออย่างว่ากันทั้งนั้น   แล้ววีดีโอ โป้ ลามก  ซื้อขายกันถูกแล้วก็เกลื่อนเมือง  นำกันมาดู อย่างประเจิดประเจ้อ น่าทุเรศ ข้าเคยเห็น ชาวบ้านบางกลุ่มนั่งดูกัน แถมยังมีลูกหลานเป็นเด็กนั่งดูอยู่ด้วย พอถามเจ้าของรายการวีดีโอ แกก็บอกว่าเป็นไรไปมันเป็นสิ่งธรรมดา เรื่องธรรมดา  แต่ข้าคิดว่ามันไม่ใช่เพศศึกษาเพราะเพศศึกษามันต้องมีการอธิบายให้เด็กเข้าใจและไม่ใช่ภาพที่ลามกเช่นนั้น

     แล้วแกลองคิดดูให้ดีซิ ว่าเมื่อ สังคมผู้ใหญ่เพาะบ่มสิ่งเหล่านี้ลงไปตลอดเวลา มันจะเกิดอะไรขึ้น      แล้วลองนึกถึงสมัยที่เราเป็นเด็ก ในสมัยนั้นการเรียนการสอน    จะมีวิชาหน้าที่พลเมือง หน้าที่ศีลธรรม เป็นวิชาหนึ่งที่ต้องเรียน มีเนื้อหาของความเป็นกุลบุตร กุลธิดา  แต่มาช่วงระยะหลังๆ  วิชาเหล่านี้ นำมาปรับปรุงไหม่เรียกเสียสวยหรูว่าวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ใครเรียนก็ได้ใครไม่เรียนก็ได้  และการเพาะบ่มจิตใจโดยครอบครัว จากวันนั้นมาถึงวันนี้ มี่พ่อแม่คนใหนนำลูกหลานไปวัดไปวารับศีลรับพร ในวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำบ้าง มีการทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน สักกี่คน   

    เพื่อนยกมือขึ้น สาธุ แล้วถามว่า เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้วจะแก้อย่างไรว่ะ เลยตอบไปว่า จะไปรู้เรอะ แต่ที่สำคัญเราอย่าไปตัดสินว่าเด็กไม่ดี เราดูละครแล้วต้องย้อนมาดูตัว ดูตัวแล้วก็มานั่งสุมหัวพูดคุยกัน

หลังจากเรือเฟอรี่ ถึงฝั่ง ต่างคนต่างไป จนบัดนี้ยังไม่ได้เจอเพื่อนอีกเลย อยากจะพูดคุยกันเรื่องการสร้างภูมิต้านทานให้แก่เด็ก   เพราะคิดว่าลูกหลานที่เห็นวันนั้นภูมิต้านทานกำลังบกพร่อง เราอยาก  คุยเรื่องภูมิต้านทานกับชีวิตที่พอเพียง ใครอ่านคอร์ลัมนี้ ช่วยคิดให้ทีว่าจะทำอย่างไร โอ้ะ โอ๋ ยังไม่เข้าข่ายเครือข่ายเครือญาติอีกแล้ว อิ อิ 

หมายเลขบันทึก: 195868เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2008 01:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท