ทฤษฎี HRDS ของผมประยุกต์ได้กับกีฬา
ขอแสดงความยินดีกับ “น้องนก” นพวรรณ เลิศชีวกานต์ ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่คนไทยในโลกเพราะชนะเลิศคู่ระดับเยาวชนที่ U.S.Open ปีนี้ซึ่งเป็นครั้งแรก และชายคู่ระดับเยาวชนก็เข้ารอบรองชนะเลิศแต่แพ้อย่างหวุดหวิด ผมขอชมเชยและให้กำลังใจ เพราะกีฬาเทนนิสเป็นกีฬาที่ประเทศทั่วโลกรู้จักดี และเล่นกันอย่างแพร่หลาย
แต่ความสำเร็จครั้งนี้ ผมก็คงจะต้องตั้งคำถามดัง ๆ ว่า ความสำเร็จของ “น้องนก” ยั่งยืนไปในระดับผู้ใหญ่หรือไม่ เพราะจากการแสดงความคิดเห็นใน Blog วิเคราะห์กันว่า “เด็กไทยเก่งแต่โตแล้วแผ่วและไม่สำเร็จ” ก็หวังว่าคนไทยจะได้เฝ้าติดตามความสำเร็จของน้องนกตลอดไป
ผมมีหลายเรื่องที่จะเสนอแนวคิดให้ท่านผู้อ่านนำไปคิดต่อ เติมเต็มก็จะยิ่งได้มาก “กีฬา” ถ้าลดการพนันไปบ้าง เน้นสุขภาพ การสร้างสังคมที่มีคุณภาพในด้านสุขภาพ อาจจะเป็นการจ้างงานที่ดีและสร้างเครือข่ายในระดับโลกได้ บทความของผมก็คงจะมีคุณค่าไม่มากก็น้อย
ต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ ผมเขียนว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับเงินเดือน 1 ล้านปอนด์ต่อปีของ ปีเตอร์ รีด” โค้ชทีมชาติพุตบอลไทย ข่าวล่าสุดออกมาแล้วว่าจริง ๆ จ่ายแค่ 700,000 ปอนด์ ก็ยังแพงอยู่ดีเพราะเงินที่จ่ายในประเทศไทยใช้ชีวิตในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก ได้แค่ 400,000 ปอนด์ต่อปี ผมก็ว่าแพงมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็ช่วยกันติดตามดูแล้วกันว่าคุ้มหรือไม่? และต้องมีผลงานระดับที่คนไทยพอใจด้วย
ผมฝันว่าการมีโค้ชฝรั่งสำหรับทีมชาติฟุตบอลไทยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการปรับโครงสร้างวิธีการทำงานของสมาคมฟุตบอลฯ ให้เป็นระบบ บริหารแบบมืออาชีพ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องสร้างกีฬาฟุตบอลอาชีพทุก ๆ ระดับของถ้วยต่าง ๆ พรีเมียร์, ถ้วย ก, ข, ค, ง, ...
ผมจึงขอชมเชยสมาคมฟุตบอลฯ ที่มีนโยบายการกระจายกีฬาฟุตบอลอาชีพไปสู่จังหวัดซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นที่จำทำทีมฟุตบอลอาชีพซึ่งขอให้ทำดีต่อไป แต่อย่าให้เป็นแค่จัดสัมมนาเท่านั้นแล้วก็เลิกกันไป ต้องติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด และสร้างให้เกิดกระแสฟุตบอลต่างจังหวัด และเปิดข้อมูลข่าวสารให้ผู้สนใจทั่ว ๆ ไปได้มีส่วนร่วม
ผมเคยเขียนไว้ว่าผมจะไปเยี่ยมและดูฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกที่ต่างจังหวัดและอยากให้สยามกีฬารายงานจำนวนผู้ชมการแข่งขันว่าแต่ละครั้งมีคนดูกี่คน ผมขอรายงานได้ทำตามที่พูดแล้ว ที่ทำเพราะอยากรู้ อยากเห็น ทำให้ผมได้เรียนรู้และเขียนบทความ “เรียนรู้จากกีฬา” ได้ดีใกล้เคียงความจริง
ผมและคณะไปดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเล่นที่สมุทรสงคราม ได้พบสิ่งต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาก:
§ สนามกีฬาเก่ามาก มีอัศจรรย์ข้างเดียว และสภาพแวดล้อมเป็นชุมชนแออัด มีโรงเรียนล้อมรอบ ในระยะยาวน่าจะคิดหาที่ที่เหมาะสมใหม่ ในช่วง 5 ปีข้างหน้าน่าจะปรับปรุงให้ดูสวยงามโดยเพิ่มอัศจรรย์ได้บ้าง
§ ชาวสมุทรสงครามสนใจฟุตบอลของเขามาก มีคนดู (ทั้งที่เสียเงินและไม่เสียเงิน) ประมาณ 5,000 – 6,000 คน ซึ่งก็เป็นจำนวนที่ใช้ได้เมื่อเทียบกับทีมฟุตบอลระดับเดียวกันหลายสโมสรที่มีคนดูน้อยกว่า คนที่เสียเงินก็จ่ายแค่ 20 บาท เด็กนักเรียนไม่ต้องจ่าย ผมถามว่าค่าผ่านประตูต่อครั้งประมาณเท่าไหร่ มีคำตอบว่าเก็บได้ประมาณ 40,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งถือว่าน้อยมาก ผู้อ่านลองคิดดูนะครับว่า ฟุตบอลไทยระดับนี้เก็บเงิน 20 บาทเก็บเงินค่าผ่านประตูได้ครั้งละ 40,000 บาทแล้วการเงินของสโมสรจะเป็นอย่างไร และระยะยาวจะอยู่อย่างไร?
§ ผมมีโอกาสได้คุยกับนายโยธิน ตันประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง สนใจกีฬา เหตุผลที่สมุทรสงครามทำได้เพราะผู้นำท้องถิ่นสนใจ และมีนักธุรกิจชาวสมุทรสงครามอย่างนายสมศักดิ์ ศิริธรรม ประธานสโมสรแม่กลอง สมุทรสงคราม 2007 ช่วยลงขันปีละหลายล้านบาท อบจ.จะช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมปีละประมาณ 2 ล้านบาท ที่เหลือก็ได้มาจากส่วนกลางประมาณ 6 แสนบาท ค่าใช้จ่ายของสมุทรสงครามใช้จ่ายอย่างประหยัดก็ต้องหามาปีละ 10 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย
ผมสรุปว่ากีฬาในประเทศไทยไม่เจริญเพราะรัฐบาลไม่เอาจริง ส่วนหนึ่งไม่สนใจที่จะทุ่มเทเพื่อเยาวชน และทำงานแบบไม่เป็นมืออาชีพของสมาคมฟุตบอลฯ
ถ้าจะเริ่มช่วยกันหาทางออกจุดแรกที่น่าสนใจก็คือ สำนักงบประมาณที่มองกีฬาแบบเดิม ๆ ให้งบประมาณแบบขอไปทีไม่จัดงบประมาณให้เพียงพอ
จุดที่สองก็คือ กระทรวงมหาดไทยในอดีตไม่ว่าผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ไม่สนใจเรื่องกีฬาอย่างแท้จริง และในอนาคตส่วนกลางต้องร่วมกับผู้นำท้องถิ่นมากขึ้น
ความสำเร็จของสมุทรสงครามนอกจากที่กล่าวมาแล้วก็คือประชาชนในจังหวัดนี้มีความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของ ผมเห็นแฟนคลับของเขาน่าสนใจ และไม่ใช่มีแค่กลุ่มเล็ก ๆ ปัจจุบันก็มีกลุ่มขยายไปยังระดับประชาชนที่มีความรู้ซึ่งผมมีความมั่นใจว่าจังหวัดอื่น ๆ ก็คงจะทำได้
จังหวัดนี้เป็นจังหวัดเล็กมาก และเงินอบจ. ก็มีงบทั้งหมดแค่ 200 ล้านบาท แต่นายก อบจ. ชอบกีฬาจึงยินดีสนับสนุน ผมจึงขอฝากธุรกิจ/ร้านค้า ถ้าจะสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจโดยใช้กีฬาก็น่าจะดี
อาทิตย์นี้ เรื่องน่าสนใจที่คุณ Edward จาก Bangkok Post ได้เขียนไว้ถึงเรื่องธุรกิจการเงินกับกีฬาฯ
§ คุณ Edward ยกย่อง ดร.สุไลมาน อัล ฟาฮิมซึ่งเป็นมหาเศรษฐีจากอาบูดาบี้ซื้อสโมสรเรือใบจ่ายคุณทักษิณไป 150 ล้านปอนด์ ซึ่งคุณ Edward ว่ามหาเศรษฐีท่านนี้ร่ำรวยมาก แต่มีพฤติกรรมที่จะส่งเสริมกีฬาอย่างแท้จริง เพราะท่านยกตัวอย่างว่าในช่วงอาทิตย์ที่แล้ว มีปรากฏการณ์หลายเรื่องในสโมสรฟุตบอลอังกฤษที่เงินและธุรกิจมีอิทธิพลต่อกีฬามากเกินไป
เช่นที่ สโมสรนิวคาสเซิล เควิน คีแกน ต้องลาออกไป ไม่ใช่เพราะผลงานไม่ดี แต่เพราะคิดไม่ตรงกับเจ้าของ
§ และคุณเคอร์บิชลีย์ โค้ชของสโมสรเวสแฮมก็ลาออกไป เพราะขัดแย้งกับเจ้าของ คุณ Edward ก็เลยย้ำว่าเป็นห่วงว่าอิทธิพลของเงิน ทำให้การบริหารสโมสรขาดคุณธรรม และ ธรรมาภิบาลไม่เห็นศักดิ์ศรี และนับถือความเป็นของนักเตะ หรือ สตาฟ์ ผู้ฝึกสอน
ผมอ่านแล้ว ก็ตรงใจผมมาก เพราะได้พูดและเขียนเรื่องนี้มานาน และมีคนชอบนำข้อคิดนี้ของผมไปปฏิบัติมากมาย แต่เป็นระดับการทำงาน ไม่ใช่ ระดับการบริหารสโมสรกีฬากับเจ้าของที่เน้นธุรกิจเป็นหลัก
ผมเรียกทฤษฎีนี้ว่า HRDS
H = Happiness คือ ความสุข ทำงานอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
R = Respect คือ ต้องนับถือ ผู้ร่วมงานทุกคน
D = Dignity คือ ต้องมองมนุษย์ทุก ๆ คนว่ามีศักดิ์ศรี
S = Sustainability คือ ต้องอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ปัญหาการบริหารสโมสรฟุตบอลจะมีปัญหามากขึ้นถ้าธุรกิจใหญ่ขาด HRDS เช่น ช่วงคุณทักษิณเป็นเจ้าของก็ปฏิบัติกับโค้ชอเร็กสันอย่างขาดการนับถือ และไม่ได้มองถึงศักดิ์ศรีของเขาจนในที่สุดโค้ชผู้นั้นอยู่ได้ปีเดียวก็ต้องลาออกไป
แฟนฟุตบอลของสโมสรเรือใบแสดงความไม่พอใจบทบาทของคุณทักษิณในช่วงนั้น ผมคิดว่าที่เวสแฮมกับนิวคาสเซิลก็คล้าย ๆ กัน บทเรียนเน้นว่าเงินสำคัญ แต่ต้องไม่ใช่สำคัญที่สุด จิตใจของมนุษย์และความรู้สึกก็สำคัญ นี่แหละถึงเรียกว่า “โลกาภิวัตน์ยุคกีฬา”
ในโลกนี้ ใครมีเงินก็เป็นเจ้าของสโมสรได้ ก็กระทบกีฬาด้วย ใครมีเงินมากต้องเน้นคุณธรรม จริยธรรมด้วย ถ้ามีเงินแต่ไม่มีความเข้าใจถึงแก่นแท้ ๆ ของความรู้สึกของมนุษย์ คงจะทำงานลำบาก ก็เลยฝากประเด็นเหล่านี้ไว้
ผู้อ่าน ถ้าเป็นผู้บริหารองค์กร ไม่ว่าธุรกิจ ราชการ เอกชน หรือสโมสรฟุตบอล ต้องมองมนุษย์แบบเข้าใจความรู้สึก อย่าให้เงินเป็นพระเจ้าเพราะมนุษย์ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และมีความสมดุลในชีวิตครับ “เงินไม่ใช่พระเจ้า”
จีระ หงส์ลดารมภ์
บทความครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ในสยามกีฬา
วันที่ 10 กันยายน 2551