ตัดสินชะตากรรมโลกได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียวในมือคุณ


ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวคงไม่เป็นไร อะไรจะเกิดขึ้น

         เราคงไม่ได้สังเกต หรือบางคนพยายามที่จะลืมว่า กระดาษมาจากต้นไม้ และทุกครั้งที่เราใช้กระดาษ นั่นหมายถึงว่าต้นไม้ต้นหนึ่งหรืออีกหลาย ๆ ต้นกำลังถูกโค่นเพื่อนเข้าสู่อุตสาหกรรมกระดาษ เพิ่งมาในยุคที่ มีการใช้หมึกพิมพ์นี่เองที่กระดาษถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองอย่างมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว สมัยก่อนเรามีกระดาษกับดินสอ และยางลบ นั่นหมายถึงกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนแล้วลบและเขียน ใช้อย่างสุดคุ้ม ในขณะที่ปัจจุบันเพียงแค่ทดลองพริ้นเอาตัวงานที่สมบูรณ์หนึ่งชุด เราต้องเสียกระดาษไปเกือบสองแผ่นต่อหนึ่งชิ้นงาน  อะไรจะเกิดขึ้น หากทุกคนที่ใช้กระดาษในสำนักงานคิดอย่างเดียวกันหมดว่า เพียงแค่กระดาษเอ 4 เพียงแผ่นเดียวคงไม่เปลืองเท่าไหร่หรอก เมื่อทุกคนคิดอย่างนี้คนทำงานในสำนักงานปัจจุบันมีไม่ต่ำกว่า สิบล้านคน นั่นหมายถึงแต่ละครั้งที่คิดอย่างนี้มีกระดาษถูกใช้อย่างไม่รู้คุณค่าเกือบสิบล้านแผ่นหรือมากกว่า ต้นไม้ละถูกตัดไปกี่ต้น  คงจะเห็นกันแล้วว่า ชะตากรรมของโลกที่กำลังร้อนขึ้นทุก ๆ ปีนั้นอยู่ในมือของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะผู้ใช้กระดาษ เพราะการตัดต้นไม้เพื่อทำอุตสาหกรรมกระดาษ(ไม่รวมถึงการทำลายป่าเพื่อปลูกต้นไม้เอาเยื่อกระดาษ) ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินลดลงอย่างน่าใจหาย ทั้งสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์ของป่าก็พลอยสูญหายไปด้วย  อยากจะเล่าถึงความเป็นมาของการผลิตกระดาษในประเทศไทย  ปัจจุบันบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง ส่งเสริมให้มีการปลูกต้นกระดาษ เพื่อขายไม้ มาป้อนโรงงานทำเยื่อผลิตกระดาษสำนักงาน แต่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปคาดไม่ถึงก็คือต้นยูคาลิปตัส ที่ส่งเสริมให้ปลูกนั้นเป็นต้นไม้ที่มีใบเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะว่าการเจริญเติบโตของต้นยูคาลิปตัสรวดเร็วมากและยังทำให้ดินเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว ในสวนที่ปลูกยูคาลิปตัสนั้นไม่มีแมลง(เพราะใบของมันมีพิษหนอนกินไม่ได้)เมื่อไม่มีแมลงก็ไม่มีนก เมื่อไม่มีนกระบบนิเวศน์ในป่าก็ขาดความสมบูรณ์ ชาวบ้านที่เคยอยู่ใกล้ป่ายูคาลิตัสบอกเล่าว่า เมื่อมีการส่งเสริมให้ปลูกป่ายูคาลิปตัสนับพันไร้นั้น ลำธารที่เคยมีน้ำซึมไหลซับ กลับแห้งแล้ง ต้นไม้อื่น ๆ พากันเหี่ยวแห้งตายเพราะขาดน้ำและขาดความชุ่มชื้นของดิน ทั้งยังขาดวงจรของระบบนิเวศน์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉะนั้นยิ่งบริษัทกระดาษเติบโตมากเพียงใด ธรรมชาติยิ่งถูกทำลายมากเพียงนั้น และโลกจะร้อนขึ้น ร้อนขึ้น

           จนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้  หากทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวคงไม่เป็นไร อะไรจะเกิดขึ้น ฉะนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปขอให้เรากลับมาที่กระดาษแผ่นหนึ่งในมือของเรากันอีกครั้ง ต้องเริ่มที่ตัวเราเอง เริ่มเห็นคุณค่าของแผ่นกระดาษ ใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกระดาษห่อของที่ใช้แล้วกลับด้านมาใช้ใหม่ ซองจดหมายที่ฉีกแล้วกลับเอาด้านในมาเป็นกระดาษจดโน้ตสั้น ๆ ก่อนจะน้ำไปรวมกับกองกระดาษเพื่อส่งรีไซเคิล กระดาษห่อของขวัญด้านเดียวกลับอีกด้านมาใช้เขียน ปฏิทินเก่าที่อีกด้านเป็นเนื้อกระดาษว่าง ๆ สามารถเอามาตัดทำเป็นกระดาษโน้ตได้  และอื่น ๆ เมื่อเราฝึกให้เป็นคนที่เห็นคุณค่าของกระดาษเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย เราจะกลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าแม้ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ก็สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละที่มีส่วนในการยับยั้งความหายนะของโลก หากคุณคิดว่าแค่เผาขยะกองเล็ก ๆ กองเดียวโลกคงไม่ร้อนเท่าไหร่หรอก แต่อย่าลืมว่าเมื่อคุณคิดแบบนั้นมีคนอีกนับล้านคิดเช่นเดียวกับคุณแล้วมีไฟกองเล็ก ๆ เกิดขึ้นกี่กองกันละ นั่นหายนะชัด ๆ

            เหนืออื่นใด จะดับความเร่าร้อนใด ๆ ได้ต้องดับความเร่าร้อนในใจของตัวเองเราเองเสียก่อนเมื่อเราฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นคนมีจิตใจมั่นคง เยือกเย็น ไม่ชอบก่อไฟ(อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ คือไฟในใจ)เราก็จะเป็นคนที่มองโลกได้กว้างขึ้นและเข้าใจโลกมากขึ้น อยู่ร่วมกับสังคมและโลกได้ง่ายขึ้น  ที่สำคัญ เมื่อคุณทำตัวเองเป็นแบบอย่าง คุณก็ไม่ต้องปวดหัวกับการพยายามสั่งสอนคนรุ่นต่อไปให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ อย่างกระดาษหรือสิ่งเล็ก ๆ น้อย อื่น ๆ เพราะตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน  หากคุณเป็นแบบอย่างที่ดี ชะตาของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี  ด้วยการ ส่งต่อจากมือคุณไปสู่มือของคนรุ่นต่อไป

หมายเลขบันทึก: 194385เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2008 20:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท