ในวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ผมและทีมงานเดินทางออกจากสวนป่ามหาชีวาลัยอีสานในราวเกือบ ๆ จะบ่าย ๒ โมง และกลับถึงมหาสารคามในเวลาบ่าย ๔ โมงต้น ๆ
ระหว่างการเดินทาง หลายคนนอนหลับราวกับสลบไม่รู้สติ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงของความอ่อนเพลีย และที่สำคัญอีกประการเลยก็คือ การนอนพักเอาแรง เพราะไม่ว่าทั้งผมและใคร ๆ ล้วนมีภารกิจอันยิ่งใหญ่รอให้ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหน้า
ทีมวงแคนต้องบันทึกเทปการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านเพื่อส่งเข้าประกวดวงดนตรีโปงลางชิงแชมป์แห่งประเทศไทย หลังจากปีที่แล้วเคยคว้าอันดับ ๓ มาครองได้สำเร็จ ส่วนชนะเลิศนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน แต่เป็นวงโปงลางจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ ของ “มมส” นั่นเอง
สำหรับผมแล้ว
ผมจำต้องเร่งรีบไปช่วยน้องนุ้ยจัดทำต้นฉบับหนังสือทำมือเพื่อแจกจ่ายในกิจกรรม “ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย”
ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม –
ทันที่ที่ส่งเจ้าตัวเล็กทั้งสองขึ้นห้องพัก
ผมก็ไม่รีรอที่จะคว้าเอากระเป๋าและสัมภาระบางอย่างตรงดิ่งไปยังที่ทำงาน
พอไปถึงก็พบว่าน้องนุ้ย กำลังรอคอยให้ผมตรวจความเรียบร้อยของต้นฉบับอย่างใจจดใจจ่อ
เรามีเวลาทำต้นฉบับหนังสือเล่มนี้น้อยมาก
ทั้ง ๆ ที่เราเองก็พยายามกระซิบกระซาบไปยังผู้รับผิดชอบแล้วว่า “เร่งให้หน่อย !” เพราะกระบวนการของการทำหนังสือนั้นมีหลายขั้นตอน มิใช่จะสามารถเนรมิตขึ้นได้ในเพียงค่ำคืนเดียว
ผมใช้เวลาอ่านต้นฉบับอยู่หลายรอบ
และยืนยันว่าผมอ่านทุกเรื่อง ๆ ละไม่น้อยกว่า 3 – 4 รอบเลยทีเดียว ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกเบลอ ๆ ..ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเครียดขึ้น ๆ เพราะแต่ละเรื่องที่ส่งมานั้น เนื้อหาไม่ชัดเจนนัก รูปแบบการนำเสนอก็ร่ายยาวมาอย่างชวนปวดหัว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้กำหนดกรอบต่าง ๆ ให้พอสมควร
แต่ก็อย่างว่า -
เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของทักษะการเขียน คนค่ายทั้งหลายอาจสันทัดกับการลงมือทำค่ายมากกว่าการมานั่ง ๆ นอน ๆ เขียนเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นได้ แต่ผมก็ไม่ยอมละวางเจตนารมณ์ที่จะให้พวกเขาได้ฝึกฝนการเขียน ได้เล่าในเรื่องที่เขาอยากเล่า เพื่อรวบรวมและจัดเก็บเป็นข้อมูลถ่ายโยงไปสู่รุ่นอื่น ๆ
ไม่รู้สิ -
โดยส่วนตัว ผมไม่เคยคิดว่าการเขียนเรื่องราวของชาวค่ายนั้น จะเป็นเรื่องเพ้อฝัน เรื่อยเปื่อย , สายลมแสงแดด เอาสาระอะไรไม่ได้
ตรงกันข้าม กลับมองว่า มันคือกระบวนการของการบ่มเพาะความคิดให้ตกผลึก, คิดและขบคิดอย่างหนัก แล้วถ่ายทอดออกมาสู่ผู้อ่าน ซึ่งก่อนนั้นก็ย่อมถูกเคี่ยวบ่มด้วยการเรียนรู้อันหลากหลาย ทั้งการฟัง – การพูด – การดู – การสังเคราะห์ ฯลฯ
และกระบวนการเหล่านี้ ก็อาจช่วยให้คนค่ายได้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองผ่านกระบวนการเขียนเรื่องราวกิจกรรมของตนเองได้เหมือนกัน
และการเขียนเรื่องราวเหล่านี้
ก็เป็นการเขียนอดีตเพื่อความทรงจำของตนเอง ..
เขียนเพื่อปัจจุบันสำหรับผองเพื่อนในถนนสายนี้
และเขียนเพื่อนาคตที่ใคร ๆ ก็สามารถหยิบจับไปต่อยอดได้อย่างไม่ยากเย็น
รวมถึง ..การเป็นเสมือนสะพานที่พาดผ่านและเชื่อมโยงให้เรา หรือใคร ๆ อีกหลายคนได้หวนกลับมาร่วมรำลึกถึงวันและคืนอันแสนงามของชีวิตในวิถีค่ายอย่างไม่รู้ล้า -
เพราะผมเชื่อเช่นนั้น และเชื่ออย่างแรงกล้าเสมอมา จึงไม่เคยละทิ้งความเชื่อของตนเอง และพยายามนำมาเป็นเครื่องมือหนึ่งของการพัฒนานิสิต
หนังสือแล้วเสร็จอย่างทุลักทุเล ...
ผมอ่านทวนจนตาลาย พร้อม ๆ กับการเกรงใจ “เจ้านุ้ย” ที่ต้องฝืนสังขารมาแก้ต้นฉบับอย่างไม่รู้จบ แต่พอเห็นหน้าตาหนังสือฉบับสมบูรณ์ รวมถึงปฏิกริยาของน้องนิสิตที่กระหายใคร่อยากได้ไปถือครองนั้น ก็เชื่อว่าเจ้านุ้ยคงหายเหนื่อยปลิดทิ้ง
และนั่นก็รวมถึงน้องนุชคนสุดท้องอย่าง คุณอติรุจ อัคมูล ด้วยเหมือนกัน เพราะเขาคือผู้ที่ออกแบบปกหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเราต่างก็ยกนิ้วให้ว่า “สวยมาก ..”
สำหรับผมแล้ว
ผมไม่ค่อยมีบทบาทอะไรนักหรอก เป็นแต่เพียงผู้เดินทางกลับมาจัดการกับความฝันที่ยังค้างคาของตนเองเท่านั้น
ถึงกระนั้น ก็ยังถือว่าโชคดีอยู่มาก เพราะความฝันของผมก็กลายเป็นความฝันเดียวกับใครอีกหลายคน
ผมตั้งชื่อหนังสือนี้ว่า “มีความหมายใดในกิจกรรม : ๒” พร้อมกับคำโปรยปกในอารมณ์ของตนเองว่า “บางห้วงตอนในการเดินทางของคนค่ายฯ”
ผมมุ่งหวังเงียบ ๆ (อีกเช่นเคย) ว่าสักวันหนึ่ง จะบ่มเพาะให้คนกิจกรรมทั้งหลายมีศักยภาพในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเองพบเจอในรูปแบบของการเขียนหนังสือให้จงได้ เพราะหนังสือจะกลายเป็นตัวบันทึกประวัติศาสตร์กิจกรรมทิ้งให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้
วันนี้เรื่องราวที่เขาสื่อสารออกมาอาจดูยังไม่ชวนอ่านนัก
แต่ถ้าเปิดใจสักนิด ผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเรื่องแต่ละเรื่องได้ทำหน้าที่บอกเล่านาฏการชีวิตของค่ายนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และสำหรับคนที่ยังไม่มีโอกาสได้พลิกอ่าน ก็ไม่ต้องกังขาเลยว่า เมื่ออ่านเสร็จแล้วย่อมได้รับความรื่นรมย์ราวกับไปค่ายนั้น ๆ มาด้วยตนเอง – เลยทีเดียว
ของที่ระลึกที่องค์การนิสิตจัดทำขึ้น
และจากนี้ไปคือคำนำที่ผมเขียนขึ้นด้วยอารมณ์ที่บีบรัดจนแน่นและอึดอัด แต่ก็ดีใจที่ค่ำคืนที่ผ่านมา มีน้องนิสิตบางคนเดินมาหาแล้วบอกว่า “หนูชอบคำนำที่พี่เขียนเหลือเกิน...”
...........................................................................................................................
อีกหนึ่งคำนำ
เสมือนการเดินทางกับมาปิดประเด็นของความฝันที่เคยชวนใครหลายคนได้ร่วมโปรยหว่านไว้
ปลายปี ๒๕๕๐ -
ครั้งนั้น ผมกลับมายังกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตอีกครั้ง มาในตำแหน่งรักษาการหัวหน้ากลุ่มงานกิจกรรมนิสิต ซึ่งหลายคนรู้ดีว่า การกลับมาครั้งนั้น หาใช่ความเต็มใจเสียทั้งหมด ไม่ใช่การกลับมาเพื่อยกระดับการงานที่มีตำแหน่งใด ๆ สำหรับตัวเองเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นการมาตามเงื่อนไขในระบบบางอย่างที่ผมเองก็ไม่คิดว่าจำเป็นใด ๆ ที่จะเอ่ยอ้างไว้ตรงนี้
แต่ถึงกระนั้น ผมก็มีความสุขอย่างมหาศาลกับการได้กลับมาทำงานในจุดที่ตนเองคิดเสมอว่า “ที่ตรงนี้ ..คือที่ที่เป็นลมหายใจสำหรับตัวเอง” และเป็นที่ที่ตนเองสามารถทำงานในวิถีแห่งความฝันของตนเองได้อย่างเต็มที่ ..และเต็มกำลัง
มีนาคม ๒๕๕๐
ผมมุ่งมั่นกับการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานเรื่องการพัฒนาศักยภาพของนิสิต ผ่านมิติของการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ โดยการพุ่งเป้าไปสู่การออกค่ายอาสาพัฒนาของชมรมต่าง ๆ โดยเริ่มต้นจากการพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฐมนิเทศค่ายจากรูปลักษณ์เดิม ๆ ที่มักจมจ่อมอยู่กับการนำชาวค่ายมานั่งอบรมและรับฟังการพร่ำบอกของบุคลากร มาสู่การใช้กระบวนการของการจัดการความรู้ (KM) เป็นเครื่องมืออันสำคัญของการขับเคลื่อน ซึ่งมุ่งให้ผู้เข้าร่วมปฐมนิเทศได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ใครมีอะไรดีก็มาบอกเล่าแก่เพื่อนต่างชมรม และเปิดพื้นที่ให้มีการระดมความคิดเพื่อค้นหา “ความหมายของการทำค่ายและการสานสัมพันธ์ของคนค่าย” โดยไม่ติดยึดกับความเป็นองค์กร
ครั้งนั้น,
ผมรับปากกับนิสิตในห้องประชุมว่าทั้งผมและทีมงานของกองกิจการนิสิต จะสัญจรไปเยี่ยมค่ายของแต่ละองค์กรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าไกล – ใกล้, หรือแม้แต่สังกัดองค์การหรือคณะ เราก็พร้อมที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนอย่างปราศจากพรมแดนแห่งการสังกัด เพราะแท้ที่สุด ทุกค่ายทุกองค์กรก็มีสังกัดเดียวกันคือ “มหาวิทยาลัยมหาสารคาม”
ครั้งนั้น,
ผมบอกกล่าวชาวค่ายว่า จะนำภาพชีวิตของคนค่ายต่าง ๆ มาจัดแต่งเป็นนิทรรศการ รวมถึงการจัดทำวีดีทัศน์ประมวลภาพค่ายหลากรสชาติ และนั่นยังรวมถึงการชวนเชิญให้ชมรมต่าง ๆ ได้ส่งภาพค่ายและเรื่องเล่าเร้าพลัง มาประกวดกันให้เกิดสีสันของคนทำกิจกรรม และให้สัญญาว่า เมื่อทุกคนกลับออกมาจากค่าย เราจะมีพื้นที่ให้แต่ละคน แต่ละองค์กรได้นำพาเรื่องราวของตนเองที่พบเจอในแต่ละค่ายมาบอกกล่าวเล่าความให้กันฟังในแบบฉบับของเราเอง ซึ่งนั่นก็หมายถึงกิจกรรม “ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย” นั่นเอง
และคำสัญญานั้นก็ถูกทำให้เป็นจริง โดยองค์การนิสิตในชุดก่อนได้ร่วมกับชมรมต่าง ๆ รังสรรค์วันลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่ายขึ้นอย่างมีชีวิตในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ณ โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ มมส.
งานในค่ำคืนนั้นเป็นเสมือนการจำลองภาพชีวิตของคนค่ายในแต่ละหมู่บ้าน – โรงเรียน
หลายชมรมจัดแต่งซุ้มได้อย่างมีชีวิต
หลายซุ้มมีการแจกจ่ายของที่ระลึกให้แก่กัน
หลายซุ้มมีเรื่องเล่าและภาพกิจกรรมอันหลายหลากให้เพื่อน ๆ ได้เสพสัมผัส
และค่ำคืนนั้น ก็มีการมอบรางวัลให้กับภาพถ่ายและเรื่องเล่าที่เราได้เกริ่นกล่าวไว้แล้วอย่างหนักแน่น รวมถึงการมอบรางวัลให้กับค่ายต่าง ๆ อย่างชื่นมื่น มิหนำซ้ำยังได้ร่วมทานข้าวเย็นร่วมกันพร้อม ๆ กับการได้ร่วมชมวีดีทัศน์ของค่ายต่าง ๆ อย่างขบขันและฉาบแต่งไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปิดค่ำคืนแห่งคนค่ายด้วยเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันพอหอมปากหอมคอ
และนั่นคือสิ่งที่ผมพูดไว้ว่า นี่คือเวทีที่เป็นเสมือนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างไร้พรมแดนของคนค่าย เป็นการนำพาผลผลิตทางปัญญามาแบ่งปันกันด้วยมิติแห่งการสื่อสารที่ไร้รูปแบบอันตายตัว เรียกให้เป็นศัพท์การจัดการความรู้หน่อยก็คือ Show & Share ดี ๆ นั่นเอง
....
จากวันนั้นถึงวันนี้ นานมากโขเลยทีเดียว -
วันนี้ผมไม่ได้อยู่ในระบบเดิมเหมือนวันที่ผ่านมา ไม่ได้มีบทบาทอันใดในวิถีกิจกรรมเหมือนเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็เคยได้เข้าไปร่วมในเวทีการปฐมนิเทศของคนค่ายมาแล้วในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
ครั้งนั้น ผมพาใครหลายคนหลีกหนีไปจากห้องหับของการอบรมในมหาวิทยาลัย ไปสู่ห้วยหนองคลองป่าแถว ๆ บ้านเม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
ครั้งนั้น,
ผมยังยืนยันว่า วิถีเดิม ๆ จะได้รับการสานต่ออย่างไม่ต้องกังขา และที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็คือการจัดทำอัลบั้มเพลงค่ายและคอนเสริ์ตของเพลงค่ายของพวกเรากันทุกคน และนั่นยังรวมถึงการสานต่อเวที “ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย” ด้วยเช่นกัน พร้อม ๆ กับการรับปากเป็นการส่วนตัวว่า ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการของงานกิจกรรมโดยตรง แต่จะพยายามสัญจรไปเยี่ยมเยียนแต่ละองค์กรอย่างเต็มกำลัง –
วันนี้..
ผมอดไม่ได้ที่จะกลับมาทวงถามถึงเรื่องราวและคำสัญญาเหล่านั้นไม่ได้ พร้อม ๆ กับพยายามขยับเข้าหางานกิจกรรมและองค์การนิสิตอย่างเจียมตัว เพื่อถามถึงเรื่องราวและคำสัญญาเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะแว่วยินอย่างแผ่วเบาจนน่าใจหาย
จนในที่สุด ...
ก็มีการยืนยันว่า เรื่องราวและคำสัญญาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ แต่การเกิดขึ้นเหล่านั้นกลับเรียกได้ว่าลุ่ม ๆ ดอน ๆ กระท่อนกระแท่นอยู่มากมิใช่น้อย การติดตามเรื่องเล่าเร้าพลังและภาพถ่ายเป็นอย่างติด ๆ ขัด ๆ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า นั่นเป็นผลพวงมาจากสาเหตุอันใด จะโดยนิสิตและระบบการจัดการของหน่วยงาน – หรือไม่ – อันนี้ผมก็ไม่กล้าหยั่งชัด !
และสำหรับผมแล้ว...
สิ่งเหล่านั้น มันเป็นความฝันหนึ่งของผม และเชื่อเหลือเกินว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของความฝันของใครอีกหลายคน ซึ่งกว่าจะนำพามันกลับมาได้ และกว่าจะเปลี่ยนวิถีคิดและรูปแบบกิจกรรมดังกล่าวก็มิใช่เรื่องง่าย ครั้นจะปล่อยเลยตามเลยให้มันล่วงลับเคลื่อนหายไปอีกรอบ ก็คงสะท้อนสะเทือนใจอยู่มากเหมือนกัน
เวทีเหล่านี้ ไม่มีเป็นการแสดงงานของคนค่าย ไม่เพียงเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ของคนค่ายเท่านั้น แต่มันหมายถึงการเดินทางของความฝันและการแบ่งปันความฝันของคนที่ทำงานเพื่อสังคมโดยแท้ และมันก็เป็นความฝันของคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยแสวงหาที่ไม่ยอมจำนนต่อห้องเรียนอันแคบคับในมหาวิทยาลัย
ท้ายที่สุด..
ผมอยากจะบอกว่าดีใจที่ได้กลับมาทำหนังสือเรื่องเล่าเหล่านี้อีกรอบ ถึงแม้เรื่องเล่าเหล่านี้อาจดูไม่เข้มข้นเหมือนปีที่แล้ว มีจำนวนเรื่องน้อยกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังยืนยันว่าเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ “มีชีวิตและมีพลัง” เสมอ ซึ่งพร้อมที่จะเป็นเครื่องมืออันดีในการนำพาคนรุ่นหลังได้เดินตามเส้นทางสายนี้ได้อย่างมี “ต้นทุน”
เสียดายก็แต่ ผมและทีมงานมีเวลาน้อยนิดเหลือเกินในการที่จะจัดทำต้นฉบับเหล่านี้ กระนั้นก็พยายาม..และพยายามอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เรื่องเล่าเร้าพลังของคนค่าย ปรากฏเป็นรูปเล่มอันง่ายงามอย่างที่ควรจะเป็น และรู้ดีแก่ใจว่า ถ้ามีเวลามากกว่านี้ “เราจะทำได้ดีมากกว่านี้” อย่างแน่นอน !
ขอบคุณเจ้าของเรื่องเล่าที่ไม่ละทิ้งเรื่องราวและคำสัญญา
ขอบคุณองค์การนิสิตที่เห็นความสำคัญของเรื่องเล่าของชาวค่าย
ขอบคุณงานกิจกรรมนิสิตที่เปิดโอกาสให้ผมกลับมาปิดประเด็นอันเป็นความฝันนี้อีกรอบ !
และขอบคุณทีมงานพัฒนานิสิตและสารสนเทศทุกคนที่เหนื่อยหนักแค่ไหนก็ยังยืนอยู่เคียงข้างผมอย่างน่ายกย่อง
โชคดีจงเป็นของทุกคน
พนัส ปรีวาสนา
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
๒๑.๓๘ น.
บนโต๊ะทำงานอันแสนรก !
สวัสดีค่ะ อาจารย์แผ่นดิน
***
รู้สึกดีที่ได้อ่านบันทึกนี้ค่ะ
ตัวเองก็มีความสุขกับการทำงานกับนศ.มาก
ขอเรียนรู้กับการทำงานของอาจารย์ผ่าน blogค่ะ
***
ด้วยความเคารพ
+ สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน.....
+ มาหวนรำลึกถึงความหลังค่ะ....
"เราอาสาพัฒนาฯใจเริงร่าและสามัคคี ..... มีไม้กระดาน กระเบื้องมุงหลังคา มีเสาเอามา ไม่รอช้าสร้างบ้านเรา มีค้อนตะปู ตอกตีดังไม่เบา มีกบเลื่อย แต่งเสา แต่งกระดานตามต้องการ...."
+ สำหรับความเชื่อของคุณนั้น....
" โดยส่วนตัว ผมไม่เคยคิดว่าการเขียนเรื่องราวของชาวค่ายนั้น จะเป็นเรื่องเพ้อฝัน เรื่อยเปื่อย , สายลมแสงแดด เอาสาระอะไรไม่ได้ ตรงกันข้าม กลับมองว่า มันคือกระบวนการของการบ่มเพาะความคิดให้ตกผลึก, คิดและขบคิดอย่างหนัก แล้วถ่ายทอดออกมาสู่ผู้อ่าน ซึ่งก่อนนั้นก็ย่อมถูกเคี่ยวบ่มด้วยการเรียนรู้อันหลากหลาย ทั้งการฟัง – การพูด – การดู – การสังเคราะห์ ฯลฯ และกระบวนการเหล่านี้ ก็อาจช่วยให้คนค่ายได้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองผ่านกระบวนการเขียนเรื่องราวกิจกรรมของตนเองได้เหมือนกัน "
+ ในฐานะคนค่ายรุ่นเก่า...ขอยืนยันว่าสิ่งที่คุณเชื่อ...นั้นมีประโยชน์จริง ๆ พิสูจน์มาแล้วค่ะ.
+ ชื่นชมยินดี...ม่วนชื่นค่ะ....
โปรแกรมค่ายอาสาฯมมส. 21-24 เดือนหน้า
จองเด้ออ้าย เล่มหนึ่ง
มักๆๆ
+ คุณแผ่นดิน....
+ ถ้าว่างพอ...ก้กรุณาส่งมาทาง อ. หนองจิกสักเล่มนะค่ะ หนังสือค่ะ
+ อย่างน้อยก้มาต่อเติมแรงใจแรงฝันให้ใครบางคนที่นี่ค่ะ
+ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ได้อ่านผ่านบันทึก..ก็รื่นรมย์เหลือเกิน
:)
สวัสดีครับ...little cat
ไม่ได้ทักทายเสียนาน
ผมเองก็เพิ่งมีโอกาสได้เข้าบล็อกอย่างต่อเนื่องเพียงไม่ถึงสัปดาห์ เปิดเรียนใหม่ มีกิจกรรมให้เข้าร่วมเป็นรายวันเลยก็ว่าได้
ตอนนี้กำลังคิดกิจกรรมที่มีกรอบในทำนองว่า "นวัตกรรมความคิดนิสิต มมส." ซึ่งหมายถึงการนำเอาผลงานของนิสิตในด้านต่าง ๆ มาผลิตเป็นสื่อต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบหนังสือ ..วีซีดี ภาพถ่าย ฯลฯ เพื่อเผยแพร่ในโอกาสต่าง ๆ
และหวังว่า กระบวนการเช่นนี้ จะเป็นแรงหนุนให้นิสิตได้มีเวที หรือกล้าที่จะแสดงพลังทางปัญญาให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ยินดีร่วมแลกเปลี่ยนเสมอ, นะครับ
สวัสดีครับ..แอมแปร์
ในค่ำคืนนั้น
น้อง ๆ ชมรมอาสาก็ขึ้นเวทีร้องเพลงชาวค่ายของอาสา ฯ นะครับ ร้องไปเล่นกีตาร์ไป ไพเราะและเป็นกันเองมาก
ค่าย ..
เป็นต้นทุนชีวิตที่ดีของคนหนุ่มสาว
ผมเองก็ได้รับต้นทุนเหล่านั้นสืบมาจนบัดนี้
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่กั๊ด Gutjang
เกี่ยวกับงานนี้ เป็นความฝันที่ต้องตามกลับมาจัดการให้แล้วเสร็จตามพันธะทางใจที่เคยลั่นไว้กับนิสิต
ถึงแม้ระยะเวลาจะบีบรัดจนอึดอัด แต่ก็ยังถือว่าเป็นการงานแห่งชีวิต และเป็นการงานแห่งความสุขที่ผมอิ่มใจที่ได้ลงมือทำ
และนั่นก็โชคดีที่ทีมงานยังใส่ใจและให้ความสำคัญกับ "ความฝัน" ของผมกับนิสิต ซึ่งนั่นก็น่าจะหมายถึง เป็นความฝันของทีมงานด้วยเหมือนกัน
....
มีความสุขมาก ๆ นะครับ
สวัสดีครับพ่อ.ครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
ตกลงเลื่อนจาก 14 - 17 ส.ค.นี้
เป็น ตารางนี้เลยใช่ไหมครับ (21-24 ส.ค. 51)
สวัสดีครับ. . แอมแปร์
แล้วยังไงจะส่งไปให้สักเล่มนะครับ. ถึงแม้เรื่องเล่าชุดนี้ดูจะไม่สมบูรณืเหมือนชุดก่อน ๆ แต่อย่างน้อยก็คงพลอยได้เห็นมุมมองและชีวิตของคนค่ายได้บ้าง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่กั๊ต Gutjang
ตอนนี้เรื่องเล่าผ้าป่าหนังสือก็ใกล้เสร็จแล้ว. คงได้ส่งไปให้ในเร็ววันนี้
และประมาณ 8-10 ส.ค. ผมและน้อง ๆ สัก 10 คนก็จะไปเยี่ยมที่เด็กรักป่าอีกรอบ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่อ็อด naree suwan
ปีนี้กิจกรรมรับน้องและประชุมเชียร์ที่มหาวิทยาลัย ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี .. อันเป็นผลพวงของการทำงานหนักของทุกฝ่าย
ที่ มมส. มีค่ายและกิจกรรมให้นิสิตได้เรียนรู้เยอะแยะมาก.
ขึ้นอยู่กับว่า นิสิตจะเลือกเข้าเรียนรู้อะไรบ้าง.
......
ขอบคุณครับ