อันว่า “เงิน” นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์อันสำคัญตนว่าประเสริฐทั้งหลายสมมติขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องร้อยรัดและมัดตรึงตนให้ต้องจมอยู่กับ “ความทุกข์...”
ชีวิตที่มีเงินน้อยนั้นคือความทุกข์
ชีวิตที่มีเงินมากนั้นคือความทุกข์ยิ่งกว่า
ชีวิตที่ไม่มีเงินเลยนั้นเป็นการดับทุกข์อันประเสริฐยิ่ง
หนึ่งปีครึ่งของการสมมติตนอยู่ในเพศของสมณะอันเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น หากพูดถึงเรื่องความเหนื่อย ความหนักจากการทำงานแล้ว หนักและเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนที่ทำงานอยู่ทางโลกหลายเท่า คือ การทำงานในทุกวันนี้นั้นไม่มีเวลา เราทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ทำงานทันทีเมื่อรู้สึกครั้นยามตื่น แล้วเริงระรื่นกับงานนั้นจวบชั่วยามนิทรา
แม้งานนั้นจะเยอะ จะเหนื่อย จะยาก จะมากสักแค่ไหน แต่สิ่งที่หลงลืมไปเลยได้คือความทุกข์ใจ และความกระวนกระวายจากอสรพิษตัวใหญ่นั้นคือ “เงิน”
การมีเงินเยอะนั้น ทางโลกอาจจะต้องแก่งแย่งกันให้ได้มาซึ่งงานนั้น เพราะงานคือเงิน เงินคืองาน เขาว่าจะบันดาลสุข แต่การทำงานที่นี่ เราตัดเสียได้ซึ่งความแก่งแย่งนั้น เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างเป็นหน้าที่ไม่มีแย่งกันเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินและทอง ไม่มีเกี่ยงกันและโอกาสนั้นเป็นหน้าที่อันสำคัญที่ได้เสียสละ
ปัจจัยเบื้องต้นนี้แลทำให้ชีวิตลืมเสียได้ซึ่งความทุกข์ประการหนึ่งนั้นคือ การแก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น เพราะหน้าที่ที่ทำอย่างหนักนี้ไม่มีผลประโยชน์เป็นตัวเงิน แต่ใครทำวันนี้ใครก็ได้ซึ่งความสุขใจ สบายใจ จากความ “เสียสละ…”
การดำรงชีวิตด้วยความ “มักน้อย” นั้น ทำให้เราเป็นคนประหยัดไปโดยปริยาย ผ้าที่ใช้ก็ต้องหัดตัดเย็บ หัดปะ หัดชุน ขาดก็ปะเอา เพราะเราไม่ต้องไปอวด ไปชิงสวย ชิงงามกว่าใคร พอมีเครื่องอยู่เครื่องอาศัยได้ก็เป็นพอ
ที่หลับที่นอนก็ยาวสักวา กว้างสักสองศอก หัวถึงหมอนก็นอนหลับปุ๋ย “สบาย...” ภายในโอโซนแห่งธรรมชาติหลับได้ หลับดี หลับสนิท
จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องพะวงกับสมบัติและสลัดได้เสียซึ่ง “กุญแจ” เพราะชีวิตสมณะนี้ไม่มีอะไร มีก็แค่ “บาตรเดียว” กับผ้าไตรจีวรสักสามผืน ของใช้ ยารักษาโรคก็ย่ามใบเดียว สิ่งเหล่านี้มิใช้เงินหรือสมบัติอะไรที่ใคร ๆ จะจ้องขโมย
ผ้าสังฆาฏิใช้หนุนแทนหมอน ผ้าจีวรใช้ห่มกันหนาว สบงใช้ปูลาดลงบนเสื่อผืนน้อย ๆ แค่นี้ชีวิตเราก็พลอยสุขหมดทุกข์กัน
ทุกวันนี้แทบไม่ต้องรู้วัน รู้เดือน รู้วันที่ เพราะไม่ต้องมีหน้าที่จ่ายหนี้แห่งสังคมอันมีเกียรตินั้นร่วมสร้าง
มีอยู่ก็อยู่ไป มีกินก็กินไป อาหารแค่มื้อเดียวต่อวัน จะยุ่งยากอะไรกันแค่อิ่มเดียว
กระเพาะนี้เล็กนัก เล็กกว่าตาเยอะ บางครั้งอยากกินขนมอันโน้น อยากกินขนมที่สวยงามอันนี้ กินแล้วก็แค่นั้น ไม่ไหว ๆ กินข้าวดีกว่า ดีกว่ากันเยอะ...
ร่างกายนี้มิได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก แต่กิเลสนั้นต้องการอาหารมาก “ตามักต้องการอาหารมากกว่ากระเพาะ...”
กินเสร็จก็จบกันในหนึ่งวัน จากทั้งก็ทำงานโลด ทำไปเรื่อย ๆ ไม่มีเวลาเลิกงาน เหนื่อยก็พัก เหนื่อยก็สู้ ฝืนตนบ้าง สู้กับนิวรณ์บ้าง ทำไป ทำไป
บ่ายสี่โมงครึ่งแล้วหรือ หมดเวลางานหรือยัง อันนี้ไม่มี
ทำงานเกินเวลาจะมีโอทีมั๊ย อันนี้ยิ่งไม่มีใหญ่
ทำงานไป ทำไป สบาย ๆ ไม่ต้องดูเวลา
ถึงคราวสวดศพ เผาผี พวกเราก็แห่กันมาหมดทั้งวัด เพราะเป็นหน้าที่หลักอันสำคัญ “บุญ” นั้นใครทำ ใครได้ เรามาถือเพศสมณะนี้ไซร้เพื่อใช้ใจส่งบุญให้พ่อแม่
จะนำบุญหรือทำบาปส่งให้ท่าน มีโอกาสอันนี้นั้นก็เร่งทำบุญส่งให้ มีหน้าที่แห่งบุญแห่งกุศลเพียรทำไป ทำทุกอย่างไซร้ปราศจากได้ซึ่งตัว “เงิน”
ไม่มีเงิน ไม่มีแก่งแย่ง ไม่มีวิตก กังวล ห่วงหา ว่าใครจะขโมย และไม่ต้องขวนขวายให้ได้มาซึ่งเงินนั้น มีงาน มีหน้าที่อะไรก็ไม่ต้องแย่งกัน นี่ของฉัน นั่นของเธอ ให้เพ้อใจ
ชีวิตนี้แหละที่เขาเรียกว่าสมณะผู้ที่ห่างไกลจาก “กิเลส”
กิเลสสิ่งที่นำมาซึ่งทุกข์ และเงินนั้นเองที่จะเสริมสร้างกิเลสหรือตัวทุกข์ให้เกิดขึ้น
ฉะนั้น การไม่มีเงิน คือ การดับทุกข์อันประเสริฐ ดังนี้แล...
ถึงทางสามแพร่งแล้ว เลือกสรร
ทางหนึ่งไปสวรรค์ สู่ฟ้า
อีกทางหนึ่งผกผัน นรกสู่
อีกลู่หากใครกล้า ไขว่คว้านิพพาน
กาลมนุษย์นี่เท่านั้น สิทธิ์เลือก
สัตว์อื่นมิอาจเสือก เลือกได้
ลางคนมั่วกับเปลือก หลงอยู่
ทางสู่นิพพานไซร้ บ่งไว้มรรควิถี
กราบนมัสการพระอาจารย์ สุญญตา
กระผมใฝ่ฝันที่จะดำเนินชีวิตตามทางที่ท่านปฏิบัติอยู่
แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ข้อดีของการไม่มีทรัพย์คือไม่ต้องรักษาทรัพย์
ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกปฏิบัติสมถะและเจริญวิปัสนา
แต่ด้วยกรรมในปัจจุบันและอดีตชาติจึงต้องสร้างและสะสมทรัพย์
ยังไม่สามารถสละ สลัด และปลดบ่วงที่ร้อยรัดได้
บางทีอยากถามใจตัวเองที่ว่าอยากอยู่อย่างสมถะ...นั้นจริงหรือ?
เพราะปากว่าอย่างแต่ทำอีกอย่าง
หรือว่าเราเป็นคนไม่จริง ไม่ใช่คนจริง เป็นคนไม่ตั้งใจจริง
หรือเรายังชดใช้กรรมยังไม่หมด จึงต้องห่างไกลวิถีทางที่ปรารถนาอย่างลิบลับ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใด ๆ เราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย
แต่เครื่องจองจำคือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัตินี่แล ตรึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ติดอยู่ภพอันไม่มีที่สิ้นสุด
เครื่องผูกที่ผูกหย่อน ๆ แต่แก้ได้ยาก คือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ นั้น เป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้นเขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย
ไม่มีรูปใดจะรัดตรึงใจของบุรุษได้เท่ารูปแห่งสตรี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
ผู้ที่ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมจะต้องเวียนเกิด เวียนตาย อยู่ร่ำไป
แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ ย่อมประสพทุกข์อยู่บ่อย ๆ
กิเลสนั้นมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าในเพศใด วัยใด...
(พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน)