วันนี้ เป็นบทพิสูจน์ประเทศไทยอีกบทหนึ่งกับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 32 ในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญามรดกโลก ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ผลปรากฎว่าคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ ส่วนใหญ่เห็นว่าควรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตามที่กัมพูชาเสนอ เพราะเข้า 1 ใน 3 หลักเกณฑ์ เสร็จกัมพูชา อำนาจในการวางแผนการจัดการบริหารปราสาทพระวิหารและบริเวณพื้นที่โดยรอบเป็นของกัมพูชา โดยประเทศไทยต้องรับคำสั่งการบริหารของกัมพูชา ตามข้อตกลง ที่ได้การทำสัญญาดังกล่าว (คำพูดส่วนหนึ่งจากการสัมภาษณ์ ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ของNation channel )
ประเทศไทยเราละเลยเรื่องการให้การศึกษาและความเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง ผลที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้เราไม่สามารถต่อสู้และคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาืทพระวิหาร ได้ทัน อีกประเด็นที่สำคัญคือ เรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ประชาชนจะได้รับรู้ตอนเรื่องมันแดงขึ้นมา เรื่องนี้ต้องโทษนักการเมืองที่เลี่ยงที่จะพูดความจริง ด้วยการอธิบายให้ประชาชนรับรู้ในความเป็นมาเป็นไปในการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก และยังมีวิชามารในการย้าย ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ที่ท่านมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาและประวัติศาสตร์สามารถโต้แย้งกับนานาประเทศ คัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกมาอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงบุคลากรท่านอื่น ๆ ที่ทำงานร่วมกับท่าน นักการเมืองเหล่านั้นพยายามปกปิดข้อมูล เพื่อผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับในอนาคต
คุณภาพนักการเมืองของเรา เราต้องพิจารณาทั้งระบบการเมืองและนักการเมือง นักการเมืองทำแบบนี้ ไม่มีสำนึกในการที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน วันนี้เราประชาชนคนไทยต้องร่วมมือกัน เพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากสังคมไทย
ความรู้สึกของผมวันนี้ คงไม่ต่างจากคำพูดของท่าน จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดังนี้
ในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า
ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านด้วยน้ำตา
แต่น้ำตาของข้าพเจ้าเป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย
ขอเลือดของความคั่งแค้น
และการผูกใจเจ็บไปชั่วชีวิต
ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
พี่น้องชาวไทยที่รัก
ในวันหนึ่งข้างหน้า
เราจะต้องเอาปราสาทพระวิหาร
กลับคืนมาเป็นของชาติไทยให้จงได้
อ่านเพิ่ม http://gotoknow.org/blog/dongluang/177519
ไม่มีความเห็น