พัฒนาการสมองของเด็กก้าวพลาด (จากการเยี่ยมศูนย์ฝึกและเยาวชนและเยาวชน เขต 9 จังหวัดสงขลา)


ในชีวิตเด็กก้าวพลาดคนหนึ่งไม่เคยถูกสอน มีแต่ถูกสั่ง ไม่เคยถูกถามความสมัครใจ มีแต่ยัดเยียดให้ทำ ไม่เคยถูกรัก มีแต่ให้เข้าใจว่านี่แหละรักแล้ว(โว๊ย!!!) ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละจะเอาอะไรมากมาย... แท้ที่จริงชีวิตมนุษย์ไม่ต้องการมากมาย ต้องการความพอดี ความพอเพียง ไม่สุดโต่ง สงบ สุข และเย็น ไม่ร้อน...รน ตามช่วงวัย

เมื่อวันที่ 2 3 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมานี้ ดิฉันมีภารกิจลงไปเยี่ยมเยียนโครงการ การพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสุขภาวะเด็กและเยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในฐานะผู้ประเมินผลภายในของโครงการส่งเสริม สนับสนุน และคุ้มครอง สุขภาพและสิทธิมนุษยชน ด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส.

เจตนารมณ์ของโครงการฯ ดีมากทีเดียวที่ต้องการพัฒนา และฟื้นฟูสุขภาวะของเด็กและเยาวชนในศูนย์ฝึกฯ เรื่องเล่าในวันนี้แก่เพื่อน ๆ ชาว blog จะเป็นเรื่องพัฒนาการสมองของเด็กก้าวพลาด ขอใช้คำเด็กก้าวพลาดนี้ตามรศ. อภิญญา เวชยชัย และพี่หนู พรรณิภา โสตถิพนธุ์ ซึ่งเป็นคำที่เหมาะสม ดูแล้วสะท้อนความใจดีของผู้ใหญ่ที่มองเด็กเหล่านี้ เป็นคำที่พร้อมจะให้โอกาสแก่เด็กก้าวพลาดทุกคน

มาถึงวันนี้เพื่อน ๆ ชาว blog ทุกคนคงมีความรู้เรื่องพัฒนาการสมองพอสมควรแล้ว เราประจักษ์แล้วว่าสมองถูกพัฒนามาตั้งแต่ในครรภ์ ตั้งแต่ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ก่อร่างสร้างตัวเรียบร้อยพอครบกำหนดคลอด เด็กทุกคนจะมีพัฒนาการของสมองเกือบสมบูรณ์ (90 %) สมองเป็นอวัยวะที่ถูกพัฒนาก่อน เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ทางกายภาพ ก่อนอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งอวัยวะอื่น ๆ หลังคลอดจะยังคงเจริญเติบโตทั้งทางกายภาพและการทำหน้าที่ไปเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น สมองของเด็กอายุ 2 ปี จะมีน้ำหนักประมาณ 1กิโล กับอีก1 ขีด ในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะมีน้ำหนัก 1 กิโล กับอีก 3 ขีด เห็นไหมว่าเกือบเท่ากัน แล้วมีความหมายอย่างไร หมายความว่าโครงสร้างสมองที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ต้องรีบกระตุกกระตุ้นการทำหน้าที่ และถ้าไม่กระตุกกระตุ้นล่ะจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือจะถูกธรรมชาติริดรอนไป ทำให้สูญเสียโอกาสแห่งการพัฒนาในช่วงเวลานั้น ๆ จะส่งผลให้เป็นเด็กพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย

 สมองของเด็กก้าวพลาด นั้นเข้าใจว่าจะถูกส่งเสริม หรือกระตุกกระตุ้นอย่างไม่มีทิศทางแห่งการพัฒนาการเด็กเอาเสียเลย ดิฉันลองพูดคุยเพื่อทดสอบกระบวนการคิดวิเคราะห์ จะพบว่าคำตอบออกมาไม่มีกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างเหมาะสมตามวัยของเขา ซึ่งคือวัยรุ่น เป้าหมายชีวิตไม่มี เพราะขาดทักษะการเรียนรู้ชีวิตอย่างมีความหมายตามช่วงวัย ชีวิตที่ผ่านมาเป็นการตอบสนองสมองส่วนลิมบิก ซึ่งเป็นพื้นฐานของอารมณ์ และการเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดเป็นการใช้สมองส่วน Reptilian brain หรือสมองของสัตว์เลื้อยคลาน (แปลตรง ๆ) ค่อนข้างมาก ถามต่อว่าเด็กทุกคนเกิดมาจะดำเนินชีวิตได้เองหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ การที่เด็กเขาใช้แต่สมองของสัตว์เลื้อยคลานนั้นเพราะการบ่มเพาะ การเลี้ยงดูเยี่ยงนั้น การเลี้ยงดูที่ปล่อยสมองให้เติบโตไปตามยะถากรรม เวลาหิวก็ต้องหากินเอง มีให้กินก็ดีแล้ว!!!” เด็กบางคนถูกผรุสวาสด้วยซ้ำในเวลาจะเข้ามาหาพ่อ หรือแม่ และโชคร้ายถ้า พ่อหรือแม่กำลังอยู่ในอาการเมาพลอยฟ้าพลอยฝนโดนกังฟูด้วยซ้ำ เห็นเป็นคดีมากมาย และภาพเหล่านี้เองจะสร้างวงจร สร้างร่องรอยการเรียนรู้ให้กับเขา เมื่อเข้าสู่สังคม เริ่มจากโรงเรียนก็จะต้องหาทางเอาตัวรอดแบบที่เคยมีประสบการณ์มา ต้องทำตัวใหญ่ พอง เจ๋ง ออกมาภายนอก เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายต่อตนเอง ผิดไหม ก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูก ควรให้เขาเรียนรู้ถึงพลังในตัวเองอย่างสร้างสรรค์ ตัวใหญ่ พอง และเจ๋งจากพลังภายในตน เกิดการนับถือจากกลุ่มด้วยยอมในพลังปัญญา และการแก้ปัญหา เข้าใจว่ามาถึงตรงนี้หลายท่านขอแบบเป็นรูปธรรมดีกว่า นั่นคือ

เมื่อแรกเกิด จน ปฐมวัยต้องเลี้ยงดูด้วยความรัก และเอาใจใส่ แม้ว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะลูกไม่เข้าใจหรอกว่าหน้าตาแม่แบบนี้เหนื่อยเพราะทำมาหากินเพื่อมาเลี้ยงดูเขา ลูกวัยนี้จินตนาการยังไม่ได้ไม่เป็น เพราะนั่นเป็นการใช้สมองส่วนหน้าซึ่งเพิ่งจะพัฒนาไปไม่มากใช้เวลาในการพัฒนาไปถึงอายุ 20 ปีทีเดียว ที่พัฒนาอยู่มากในวัยนี้คือสมองของระบบลิมบิก เป็นการใช้และฝึกฝนอารมณ์ และควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานแห่งชีวิต และวัยนี้เมื่อเจอแม่ทำหน้าเหนื่อย เบื่อหน่ายขนาดนั้น ลูกจะเข้าใจว่าอย่างไร ก็เข้าใจว่าแม่โกรธ แม่ไม่รักเขา จนถึงแม่ใจร้าย ทิ้งเขาไว้กับใครไม่รู้มาเลี้ยงเขาทั้งวัน แม่ไปไหน พอมาถึงแม่ยังทำหน้าแบบนี้อีก แม่ไม่รักเขา ร้องไห้ โทษตัวเอง ถ้าผู้เลี้ยงดูเข้าใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ เป็นค่อย ๆ กอด เล่นกับลูก เติมเต็มพัฒนาการแบบไม่ขาดไม่เกิน ส่งเสริมอาหารแบบครบห้าหมู่ต่อวัน เช่น กล้วย ผักใบเขียว ไข่ นม เป็นต้น เล่านิทานก่อนนอน เล่าไม่เป็นก็ฝึกนะคะ ไม่ยากเลย สำหรับดิฉันจะเล่าซ้ำ ๆ ทุกวันจนคิดว่าเขาจำได้ จะแกล้งให้เขาต่อท้ายคำ จนถึงขั้นเล่าให้แม่ฟังบ้างสิ วันนี้อยากฟังจังเลย หรือบางวันเหนื่อยจะบอกลูกว่าเหนื่อยจัง มาจุ๊บแม่หน่อยสิคะ พอเขาจุ๊บ เราจะแกล้งหายเหนื่อย ทำหน้าตาสดใส แปลกใจในยาวิเศษนี้ จุ๊บปุ๊บ หายปั๊บ เขาจะชอบใจ หัวเราะมีความสุข ง่าย ๆ แบบนี้ละค่ะ แต่ไม่ใช่ในลักษณะรักมากจนกลัวเกินไปจึงทั้งโอ๋ ทั้งปกป้อง และทำให้ลูกทุกอย่าง จนลูกไม่ได้ฝึกอะไรเลย คุณแม่กำลังสร้างวงจรในสมองแบบคิดอะไรไม่เป็น ลูกเดินช้าเพราะอุ้มมาก ลูกช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นไม่เป็นเพราะมีคนทำให้หมด อย่างนี้เป็นการทำลายความฉลาดของลูกอย่างยิ่ง  ยังมีอีกมากค่ะ ค่อย ๆ คุยกันไปใน blog นะคะ สิ่งสำคัญคือสมองยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ตอบสนองอย่างรวดเร็ว สมองลูกสร้างได้ เพราะพัฒนาการสมองในท้องจะมีผลต่อชีวิตเพียงครึ่งเดียวหากอีกครึ่งสำคัญนั้นอยู่ที่พัฒนาการสมองหลังคลอดตลอดชีวิต แม้ยามวัยมากแล้ว ก็ต้องการส่งเสริมพัฒนาเพื่อไม่ให้เป็น Alzheimer เกิดวงจรเชื่อมโยงตลอดเวลา เรียกว่าจนสิ้นอายุขัยทีเดียว

มาถึงตรงนี้เพื่อน ๆ คงเข้าใจวิถีของพัฒนาการสมองของเด็กก้าวพลาดบ้างแล้วนะคะว่าเขาขาดทั้งพี่เลี้ยง (coach) และแม่แบบ (role model) ในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนเข้าวัยรุ่น ตลอดทุกช่วงเวลามีแต่ชอบสุดโต่ง รักสุดโต่ง เกลียดสุดโต่ง แก้แค้นสุดโต่ง แสดงออกสีหน้าท่าทางเหมือนดาวร้ายในโทรทัศน์ เพราะเขาไม่เข้าว่าในหนัง หรือละครต้องแสดงสีหน้าเกินจริง สมบทบาท เขาเรียนรู้แต่ว่านี่คือรัก (กอด จูบ ลูบคลำ ร่วมรัก!!!) เกลียด โกรธต้องแก้แค้น เอาคืนอย่างสาสม (เกินความผิด!!!) ในชีวิตเด็กก้าวพลาดคนหนึ่งไม่เคยถูกสอน มีแต่ถูกสั่ง ไม่เคยถูกถามความสมัครใจ มีแต่ยัดเยียดให้ทำ ไม่เคยถูกรัก มีแต่ให้เข้าใจว่านี่แหละพ่อ เพื่อน แม่(งงงง!!!)รักแล้ว(โว๊ย!!!) ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละจะเอาอะไรมากมาย... แท้ที่จริงชีวิตมนุษย์ไม่ต้องการมากมาย ต้องการความพอดี ความพอเพียง ไม่สุดโต่ง สงบ สุข และเย็น ไม่ร้อน...รน  ตามช่วงวัย

ท้ายนี้ขอเถอะคะผู้ที่รู้ตัวว่าจะต้องทำงานด้านพัฒนาการมนุษย์ คุณต้องแสดงบทพี่เลี้ยง และแม่แบบแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ รักซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกัน เมื่อรู้ว่ามีหน้าที่พัฒนาการมนุษย์ คุณต้องเป็นมนุษย์ที่พัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน เป็นตัวจริง ชัดเจน แก่นแท้ ไม่ปลอมมาเพื่อประกอบอาชีพไปวัน ๆ

มาร่วมสรรค์ สร้าง ปั้น แต่งสังคมแห่งพลัง พลังของจิตปัญญา เพื่อพัฒนามวลมนุษยชาติอย่างยั่งยืน เริ่มจากครอบครัววันนี้เลยนะคะ

หมายเลขบันทึก: 192696เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2008 19:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 19:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • ตามมาเรียนรู้ครับ
  • เชื่อว่า การกระทำเป็นตัวอย่างที่ดีจากครอบครัว
  • พ่อและแม่ จะเป็นแม่แบบที่ดีให้เด็กๆๆได้
  • ให้เขาตัดสินใจ
  • มีความคิดสร้างสรรค์เองบ้าง
  • ขอบคุณครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท