บ้านเมืองที่ไร้คม


หนึ่งคำถาม ต่อ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย เมื่อเราเริ่มต้นมองดูบ้านเมืองของเรา เริ่มถามคำถามเรียบง่ายต่อตัวเอง และ ถามถึงความจริงซึ่งแอบแฝง อยู่ในแต่ละความปลอดภัยรอบกายคนไทย มีคำตอบใดบ้าง ที่จะตอบความจริงในความปลอดภัยเหล่านี้ของคนไทย กระทั่งอธิบายได้ว่า เหลี่ยมคม ที่พร้อมจะทิ่มแทงคนไทยจะหมดคมลงเมื่อใด

บ้านเมืองที่ไร้คม

 

อ้างอิง - ภาพ http://www.oknation.net/blog/DECHARIN

ผมมีข้อเสีย

นับเป็นข้อเสียสำคัญ

โดยยอมรับอย่างเปิดเผย

อย่างไม่ปิดบังอำพรางใดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลรอบข้าง ผมยอมรับเสมอว่า ผมเป็นคนซุ่มซ่าม ไม่ค่อยระมัดระวังร่างกาย จะเป็นมือไม้ปลายเท้าท่อนขา หรืออวัยวะส่วนใดในร่างกายก็ตามแต่ ทุกสิ่งอย่างมักได้รับอันตราย จากความซุ่มซ่าม สัพเพร่าของตัวผมเอง จนจำได้ขึ้นใจ

แม้จะยอมรับและจดจำได้ดี

ถึงความซุ่มซ่ามส่วนตัว

ว่าเป็นภัยอย่างมาก

แต่ผมก็ยังคงแก้ไม่หาย กับพฤติกรรมไร้รูปไร้รอยเช่นนี้ ทุกครั้งเมื่อเกิดความพลั้งพลาดขึ้น ผมจะจำได้ขึ้นใจทันที ไม่ว่าจะเป็นรอยช้ำ รอยเจ็บ รอยแผล กระทั่งมีเลือดตกยางออก ให้จดจำได้ถึงช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด จนบ่อยครั้งผมเริ่มเบื่อหน่ายตัวเองมากขึ้น ในความไม่ใส่ใจ

บ่อยครั้งผมก็บ่น

หรือกระทั่งคอยระมัดระวัง

ไม่ให้ใจต้องล่องลอยไปไกล

บ่อยครั้งก็อดหวาดระแวงไม่ได้ ยามจะหยิบจับสิ่งใด จะเดินเหินผ่านขอบเหลี่ยมมุมห้องขอบโต๊ะ หรือขาเก้าอี้ กระทั่งการเดินทางไปในสถานที่ต่างต่าง ผมก็ยังคงติดนิสัยในความซุ่มซ่ามเหล่านั้นไม่ได้ ยิ่งรู้ว่า ตัวเองมีบาดแผล ที่เกิดขึ้นจากพลั้งเผลอ ผมยิ่งรู้สึกสำนึกกับตัวเอง

ในแต่ละสิ่งอย่างที่จะต้องกระทำ

ยามจะตัดสินใจก้าวขา

หรือเดินเลี่ยง

ยิ่งในยามเดินถนนทั่วไป ในเขตเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทย ผมอดหวาดระแวงไม่ได้ ยามเดินผ่านฝาท่อระบายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นตะแกรงเหล็ก แผ่นเหล็ก หรือแผ่นปูนที่วางทับอยู่บนปากท่อ ต่อให้ดูมั่นคงเพียงใดผมก็อดระแวงไม่ได้ ทุกครั้งผมมักจะเดินเลี่ยงที่จะเหยียบลงไปเต็มเท้า

ส่วนใหญ่แล้ว

ผมมักเดินข้ามไป

หากก้าวนั้นไม่ใหญ่เกินตัว

หรือกระทั่งเมื่อไม่สามารถก้าวขาในขาเดียว ผมก็จะเดินเหยียบขอบท่อ ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่เคยต้องหล่นท่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว อย่างมากที่สุดก็เพียงสะดุดขอบปากท่อ ที่ทำไม่เสมอพื้น ให้ต้องกระโดดตัวเล่น ยังไม่ถึงขนาดต้องหกล้มหัวคะมำเพราะความสัพเพร่าของถนน

ผมอาจหลีกเลี่ยงที่จะโทษความรับผิดชอบ

ในส่วนของผู้คนที่ดูแลทางเท้าทั่วไป

หรืออาจจะหลีกเลี่ยงโทษรัฐ

เพียงเพราะผม ตระหนักในกฎเกณฑ์สำคัญของบ้านเราว่า หากเราไม่บาดเจ็บแข้งขาหัก หัวแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือน กระทั่งบาดเจ็บล้มตาย หรือกลายเป็นผู้ทุกขพลภาพ ผมก็ไม่มีสิทธิใดใด จะไปตำหนิความจริงในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐไทย หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบให้ตระหนัก ไม่นับรวมถนนหนทางมากมายในบ้านเรา

 

 

จะติดไฟบ้างไม่ติดบ้าง

ถนนจะเรียบไม่เรียบอย่างไร

กระทั่งมีสัญญาณเตือนให้ได้รับรู้

ยังไม่ต้องคิดมาก สำหรับความเป็นคนขับรถเมืองไทย ซึ่งจำต้องเข้าใจในความจริงของชีวิต ว่าไม่มีความสามารถของหน่วยงานภาครัฐไทยใด ที่จะลงมาตระหนักต่อความจริง อันเกิดขึ้นจากความสูญเสีย ยิ่งเราเห็นความแย่อย่างหนักหนา จากอาการไร้ความรับผิดชอบเพียงใด

ผมเคยเห็นคนขับรถจักรยานยนต์

ที่ประสบเคราะห์ร้ายจากฝาท่อ

ซึ่งปิดไม่สนิทกลางถนน

กระทั่งเมื่อล้อรถจักรยานยนต์แฉลบขอบฝาท่อ ก่อนจะล้มกลิ้งล้มหงาย เพราะความไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความตระหนัก และไร้หัวใจของใครหลายคน ดีแต่ว่าในความใจหายใจคว่ำครั้งนั้น คนขับรถแค่หัวเข่าถลอก ข้อศอกไถล กับล้อของรถยนต์ตามหลัง ที่หักหลบเลี่ยงได้ทัน

ระหว่างหัวคนขับ

และหมวกนิรภัยซึ่งกลิ้งอยู่

มีความจริงในเสี้ยววินาทีชีวิตคน

ที่ทำให้ผมตระหนัก ในความจริงของหน่วยงานรัฐไทย ซึ่งหากใครไม่ได้พบเจอไม่ได้พบปะ หรือไม่ได้ประสบกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้ อาจไม่เข้าใจในความหวาดระแวงเช่นนี้ แต่สำหรับคนซุ่มซ่ามอย่างผม ผมตระหนักทุกครั้งและตระหนักเสมอ จนเหมือนบอกกับตัวเองว่า แค่หกล้มเรื่องเล็ก

เพราะสิ่งสำคัญของการดำรงชีวิต

เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ในบ้าน

ในเมืองที่มีเหลี่ยมคม

มีความไร้ประสิทธิภาพ และ ความตระหนักของผู้คนที่ต้องรับผิดชอบนั้น เป็นสิ่งที่ผมต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ เมื่อยามจะก้าวขาออกจากบ้าน ครั้งหนึ่งผมเคยประทับใจกับหัวข้อสำคัญ ในตอนหนึ่งของการ์ตูนโดเรมอน เมื่อมีเครื่องที่ออกแบบให้อาคารบ้านเรือน และอุปกรณ์ภายในบ้าน ไม่ทำอันตรายใดใด ต่อความซุ่มซ่ามของโนบิตะ ครั้งนั้นผมหัวเราะไม่หยุด

สำหรับใจความ

และคำอธิบายของเรื่องราว

ก็ในเมื่อไม่สามารถกำหนดจิตใจได้

ก็เปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่แหลมคม และพร้อมจะทำอันตรายต่อชีวิต และร่างกายของผู้คน ให้กลายเป็นเพียงวัสดุนุ่มนวล กระเด้งกระดอนกับชีวิตซุ่มซ่ามดูสักที จะเป็นไรไป สำหรับความจริงของชีวิตที่ไม่มากมายนัก หากไม่สามารถทำตัวเองให้ระมัดระวังได้ ก็เปลี่ยนแปลงสิ่งอื่น

ไม่ว่าอย่างไรสำหรับความจริงในคำถาม

ระหว่างความตระหนักส่วนตัว

กับความเป็นส่วนรวม

ผมมักจะนึกคิดอยู่เสมอ ว่าชีวิตเป็นเรื่องของความพลั้งเผลอ จะเผลอเปิดขวดน้ำแล้วฝาจีบบาด เปิดกระป๋องแล้วขอบบาด ถูกขอบกระดาษใหม่บาดก่อนจะเย็บรวมแผ่น หรือเดินเตะขอบตู้ขอบเตียง เผลอเหยียบเท้าคนอื่น ที่ไม่รู้จักชื่อพ่อของตัวเอง จนเราอาจต้องกลับบ้านพร้อมแผล ไม่ว่าจะอย่างไร ในท่ามกลางความจริงอันซุ่มซ่าม ผมคิดถึงชีวิตในบ้านเมืองแห่งนี้

ผมคิดถึงความจริงในบ้านเมืองของเรา

ในท่ามกลางความแหลมคมในบ้านเมืองที่เรารัก

ผมคิดว่า คนไทยเก่งมากที่มีชีวิตรอด

และอยู่รอดได้ในแต่ละวัน

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 191426เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2008 17:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ค่ะ เห็นด้วยค่ะ ว่าเรา เก่ง จริงๆก็เป็นเรื่องที่แสดงว่า เราเข้มแข็งค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท