อยู่ทน..จนกระทั่งทนอยู่


ขอระบายหน่อยเถอะนะ

การทำงานตลอดระยะเวลา 15 ปี กับสถานที่ทำงานเพียงแห่งเดียว ออกจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับเพื่อนๆ ร่วมรุ่น หรือสำหรับคนอื่นๆ  แต่เราก็ทำมาได้นานขนาดนี้  ตอนจบใหม่ๆ เราตอบรับทำงานที่นี่ กับผู้จัดการคนแรก เหตุผลหนึ่งคือ เพื่อนมันได้งานแล้ว เรายังไม่ได้อ่ะ จะช้าอยู่ทำไม ตอบรับไปเหอะ 

ตอนนั้นแผนกนี้ขนาดพนักงาน 2 ตำแหน่ง และเราดันทำได้ทุกอย่างที่เค้าให้ทำ ผู้จัดการก็รับไว้ก่อนและบอกว่า ทำไปก่อนนะ พี่ยังไม่รู้ว่าจะให้ลงตำแหน่งไหน ที่นี่ทำงานแบบช่วยกันทำ  เอ้า ก็ช่วยกันทำ ตอนนั้นทำหน้าที่ประมาณว่าเป็น PR in house ด้วย เป็นเลขาผู้จัดการด้วย  ผ่านไป 2-3 เดือนมั๊ง (ไม่แน่ใจ) เราก็ได้เพื่อนร่วมงานมาอีก 1 คน ที่ผู้จัดการระบุให้ทำหน้าที่ PR ไป ส่วนเรากลายเป็นเลขาไปได้ไงไม่รู้ ....ไม่ชอบ แต่ก็ยังทำ เพราะโดยตำแหน่งแล้ว ไม่ได้ระบุว่าเป็นเลขานี่นา และไม่ชอบใจที่สุดที่ใครๆ มาบอกว่า เราเป็นเลขาผู้จัดการ  ด้วยเนื้องานที่แผนกรับผิดชอบ  ประเด็นเรื่องการเป็นเลขาใครเนี่ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่งานของเราคือการจัดกิจกรรม มากมาย และหลากหลาย  สนุกกับการคิด สนุกกับการพบปะผู้คน สนุกกับการปรับเปลี่ยน

เราสนุกกับงานมาประมาณ 10 ปี ...ความไม่สนุกก็เริ่มาเยือน เมื่อรับรู้โดยถนัดชัดเจนว่า ไอ้การจัดงานของแผนกเราเนี่ย มันต้องหารายได้ด้วยนะ และน้ำหนักของรายได้ที่แผนกที่ต้องทำ ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่มขึ้นมากเรื่อยๆ 
OK อยู่หน่อยตรงที่ ผู้จัดการเราดูแลพนักงานดี เรียกว่าดีมากๆ เลยล่ะ ดีจนคนอื่นเค้ามานินทาให้เข้าหูอยู่เรื่อยเวลาปรับเงินเดือน แผนกนี้ได้ปรับเต็มอัตราสูงสุด (เป็นส่วนใหญ่) เมื่อมีพนักงานในแผนกลาออก พวกเราที่เหลือก็ช่วยกันทำงานแทนกันไป เพื่อไม่ให้งานที่ต้องจัดสะดุด รวมทั้งเรื่องการ "อยู่เวร" มีอย่างที่ไหน ที่พนักงานเงินเกิน 1 หมื่นบาทแล้วอย่างเรา ต้องมาอยู่เวรดูแลงาน แต่ก็เป็นไปแล้ว และกลายเป็นหน้าที่หนึ่งที่คนในแผนกต้องทำร่วมกันซะด้วย ดีอยู่อย่างที่ ผู้จัดการคนนั้น จัดการให้พนักงานได้รับ "ค่าพาหนะการทำงานล่วงเวลา" ไม่ใช่ OT แบบแผนกอื่นๆ แม้ว่าจะกำหนดอัตราต่อชั่วโมงไว้ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนได้รับเงินโดยเท่าเทียมกัน

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ...เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่ส่งผลให้การทำงานของแผนกเรายากขึ้น  จัดงานนี้ คนกลุ่มนึงไม่ชอบ ลูกค้าไม่ตรงเป้า เสียงดัง อึกทึก จัดงานอีกแบบนึง คนอีกกลุ่มก็ไม่ชอบ มาขายของแข่งกับฉัน  หลายๆ คำพูดที่ล่องลอยมาเข้าหูเราให้ได้ยิน ได้ฟัง ทั้งจากตัวลูกค้าเอง ทั้งจากเพื่อนร่วมงานต่างแผนก ....แต่ก็ไม่กระไรนัก ในเมื่อนายของเรา และนายสูงสุด ยังจัดการได้ และยืนยันให้ดำเนินการอย่างที่ทำอยู่นี้ต่อไป  เรื่องราวชีวิตการทำงานของเรา คงจะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าผู้จัดการไม่ก่อเรื่องซะก่อน

เรื่องที่เธอทำขึ้นมา กระทบต่อการบริหารงานอย่างมาก เกิดการปลดผู้จัดการ เปลี่ยนระเบียบการทำงาน (บางอย่าง) และปรับวิธีการทำงานอีกมากมาย น่าแปลกใจที่ผู้จัดการใหญ่เลือกรักษาพนักงานชั้นผู้น้อยไว้ และปลดผู้จัดการ ที่อว่าไว้ใจที่สุดคนนั้นออกไป ช่วงเวลาที่แผนกเราว่างเว้นผู้จัดการ 3-4 เดือนนั้น การทำงานรายกงานตรงถึงผู้จัดการใหญ่ ไม่ถึงกับเกร็งมากนัก และเราก็ผ่านมาได้ แต่ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น อย่างที่ไม่ควรจะรู้เลย  ได้รู้ว่าแผนกนี้ ต้องรับผิดชอบรายได้ เท่าไหร่ ต้องควบคุมรายจ่ายแค่ไหน ต้องลงโค้ดบัญชีอะไร และกลายเป็นว่าเราต้องทำต่อไป แม้กระทั่งเมื่อได้ผู้จัดการคนใหม่เข้ามาแล้ว ทำงานร่วมกันไม่นานนัก แนวทางการทำงานยังไม่เปลี่ยนแปลง เพราะผู้จัดการคนนี้ ต้องทำงานตามแผนงานเดิมที่วางไว้ไปก่อน
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้จัดการใหญ่เออรี่รีไทร์ และได้ผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ที่ดูท่าดี (ทีเหลว)  ผู้จัดการเราค้านคนใหม่ หลายๆ เรื่อง ค้านจนเครียด และลาออกไป เพราะไม่อยากค้านอะไรอีกแล้ว  ทิ้งให้เราค้านเค้าซะทุกเรื่องต่อมาอีก 2 เดือนกว่าจะได้นายคนใหม่เข้ามา และก็เป็นอย่างเดิม ผู้จัดการคนนี้ ยังต้องทำงานตามกรอบเดิมที่ถูกกำหนดไว้ก่อนที่เข้ามารับตำแหน่ง อีกทั้งต้องทำตัวแบบระมัดระวังเต็มที่ เพราะคนที่เลือกรับเค้า คือ ผู้จัดการใหญ่ ไม่ใช่ลูกน้องเลือดเก่า 2-3 คนทีเหลืออยู่ 

สำหรับเรา โดยเนื้องาน ยังคงเป็นอย่างเดิม ยังต้องจัดงาน และงานนั้นต้องทำเงิน เหมือนเดิม  แต่ทำไมความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการทำงานเปลี่ยนไปมากมายนัก  เราอยู่มามาน จนไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆ เราว่าไม่ใช่นะ  เรากลับคิดว่า คนมาใหม่นั่นแหละที่ดันทุรังทำ ไม่ยอมเข้าใจในสิ่งที่คนอยู่มาก่อนบอกไว้ หลายครั้ง ที่เราบอกแล้วว่า ทำไม่ได้เพราะอะไร แต่กลับเจอคำพูดที่บอกมากว่า คุณไม่อยากทำ คุณไม่ลองทำ เป็นงั้นไป ก็ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณกำลังให้เราทำนั่นนะ  เราทำมาแล้ว และสมัยที่เราทำ ยังไม่มีคู่แข่งด้วยซ้ำไป  ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว คู่แข่งเราเยอะ (เยอะโคตร) แต่ลูกค้าที่ต้องการมีกระหยิบมือเดืยว แล้วคุณก็ยังบังคับให้เพิ่มตรงนั้น เพิ่มตรงนี้ เพิ่ม เพิ่มและเพิ่ม ในขณะที่เราขอคนเพิ่ม คุณไม่ให้ หาว่าพนักงานทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ บ้าชะมัดเลย....

เรามาทบทวนและคิดย้อนกลับไปกลับมา  เราว่าเค้าคงต้องการ "บีบ" คนเก่า เพื่อเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่มากกว่า  ไม่ใช่บีบเฉพาะพนักงานด้วย แต่วิธีการปรับเปลี่ยนของเค้ากำลังจะบีบผู้เช่าออกไปด้วยล่ะ  เราอยากพ้นไปจากตรงนี้นะ ไปให้พ้นซะก่อนที่เห็นสถานที่แห่งนี้ ตกต่ำลง ไม่อยากให้กลายเป็นว่า เราก็เป็นคนทำให้มัน ตกต่ำ  แต่เราทำไม่ได้ ในตอนนี้  สถานะทางเศรษฐกิจไม่เอื้อให้เรา เขียนใบลาออก แล้วเดินออกไปเฉยๆ ได้เลย

เราต้องใช้เวลาจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกซักหน่อย  แล้วคงจะได้ ทำ ในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ซะที

ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 40 ปี - - ปรัชญาการดำเนินชีวิตของผู้ชาย ที่ผู้หญิงขอร่วมด้วยช่วยใช้ละกัน

คำสำคัญ (Tags): #การงาน#เครียด
หมายเลขบันทึก: 189717เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2008 21:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2012 12:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท