ขึ้นเขียง
ครั้งหนึ่งได้ป่วยเป็นไส้ติ่ง กว่าจะรู้ว่าเป็นไส้ติ่ง ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ขณะไปสอนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด โรงเรียนอยู่ลึกเข้าไปในคลอง ทางก้ทุลักทุเลพอควร ต้องอาศัยรถจักรยานยนต์รับจ้าง จะออกจากโรงเรียนก็ยาก ก็ปวดท้องอยู่หลายวัน เพื่อนครูก็พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษให้ยามารับประทาน หลายวันก็ไม่หายสักที ก็ไปหาหมอที่คลีนิกอีกแห่งหนึ่ง หมอบอกทำนองเดียวกัน อาหารเป็นพิษ ให้ยามากินก็ไม่หาย ยิ่งปวดมากขึ้น ทีนี้ ปวดจนตัวงอเดินไม่ไหวเลย ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯให้หมอตรวจอีกที่ หมอถามอาการ แล้วเอามือกดที่ท้องด้านซ้ายพอกดก็สดุ้งเจ็บด้านขวามาก และได้รับความรู้ใหม่ว่า ถ้าปวดด้านใดให้กดด้านตรงข้ามหากกดด้านขวาด้านที่ปวด ไส้ติ่งอาจแตก เมื่อหมอตรวจอาการแล้ว สั่งนอนเตียงรอรับการผ่าตัดทันที หมอบอกว่าไส้ติ่งอักเสษอย่างรุนแรง ไม่ต้องรอญาติอนุญาตเลย เซ็นอนุญาตตัวเองเลย ระหว่างรอหมอผ่าตัด ก็เลียบๆเคียงๆถามคนไข้ที่ผ่าตัดแล้วที่อยู่ข้างเตียงว่าผ่าตัดเจ็บไหม ถ้าวางยาสลบแล้วไม่ฝื้นจะทำอย่างไร ใจคอไม่ดีเลยเพราะเป็นการผ่าตัดครั้งแรก แม้จะเป็นการผ่าตัดไส้ติ่งถือว่าเป็นการผ่าตัดเล็กน้อยก็น่ากลัวเพราะไส้ติ่งนี่แหละที่ทำให้เพื่อน ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง เพราะแผลผ่าตัดเป็นหนอง ก่อนผ่าตัด พยาบาลก็ทำความสะอาดร่างกาย เจ้าหน้าที่ที่เข็นเตียงก็นำเข้าห้องผ่าตัด หมอผ่าตัดใส่ชุดสีเขียวในห้องผ่าตัดมีความเย็นมาก พอเข็นรถเข้าห้องผ่าตัดหมอพยาบาลถ้าจะมีอารมณ์ดีอารมณ์ขัน พูดหยอกล้อกันว่า เหยื่อมาอีกราย เตรียมขึ้นเขียงเลย เล่นเอาใจคอหายแวบ นึกในใจว่าจะรอดไหมหว่า หมอวางยา เรียกว่าหมอวิสัญยี (จะถูกจะผิดอย่างไร ไม่ยืนยัน) หมอเข้ามาพูดคุยได้สองสามคำ พูดอะไรก็ยังไม่ทันได้จำ ก็หมดความรู้สึกเสียแล้ว มารู้สึกอีกทีก็ผ่าตัดเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว เฮ้อโล่งใจไปที ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเนี๊ย ใจหายใจคว่ำหมดเลย คร้งนี้ครั้งแรก ครั้งที่ สองก็ผ่าตัดมะเร็งอย่างที่เล่าไปครั้งก่อน จะมีครั้งที่ สามไหมเนี้ย
ไม่มีความเห็น