ช่วงนี้อากาศแปรปรวน ฝนตกชุก หลายคนเป็นหวัด โดยเฉพาะคนที่ตรากตรำทำงานหนัก
ความเจ็บไข้ได้ป่วย คิดว่าเป็นเรื่องดีก็ได้นะค่ะ เพราะร่างกายหาวิธีให้เราได้พักเสียบ้าง ทำให้เราปวดศีรษะ เราจะได้คิดไม่ออกและหยุดคิด ทำให้เราอ่อนเพลียไม่มีแรง เราจะได้นอนให้มากขึ้น
การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ต้องการภูมิต้านทานของสรีระทางกาย ทำนองเดียวกับการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตส่วนตัว หรือชีวิตการงาน ก็ต้องการภูมิต้านทานของจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นไปในทิศทางที่สังคมเห็นว่าต่ำต้อยด้อยค่า
ดิฉันยังจำได้ดีว่า เมื่อ ปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นปีแรกของการตรวจประเมินคุณภาพภายในของคณะวิชา และหน่วยงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนเรศวร หลายคณะฯ หลายหน่วยงาน ทำใจไม่ได้ และชอกช้ำระกำใจมากกับผลการประเมินที่มีค่าค่อนข้างต่ำ
โชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่มีใครยอมแพ้ และปรับตัวได้ พยายามสร้างภูมิต้านทานเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายที่รุมเร้า ท่ามกลางการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครั้งใหม่ จากการไม่เคยถูกประเมิน เป็นการถูกประเมินทุกปี ๆ เหมือนต้องทนทุกข์กับการกินยารักษาโรคมาเรื่อย
จนย่างเข้า ปีที่ 5 ปี พ.ศ. 2548 นี้ ผลการประเมินโดยเฉลี่ยของคณะวิชาต่างๆ ขยับก้าวขึ้นมาถึงขั้น 4 - 4.5 (จากคะแนนเต็ม 5 ) แล้วนะค่ะเนี่ย
ดังนั้น ดิฉันคิดว่า หากถอดบทเรียนวิธีประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ไปใช้เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยอีกอย่างหนึ่ง คือ วัฒนธรรมที่มุ่งการเรียนการสอนเป็นหลัก เป็นการมุ่งงานวิจัยเป็นหลัก ใยเล่าจะเป็นไปไม่ได้
ยอมกลั้นใจกลืนยาขมกันอีกสักครั้ง ประเดี๋ยวโรคร้ายก็จะหาย นะ นะ คนดี
ไม่มีความเห็น