เรามาถึง quadrant ที่สองของการเกิด blind-spot ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ต่อการเปลี่ยนแปลงนะครับ นั่นคือ "Not to say what we think" หรือ "การไม่พูดในสิ่งที่ตนเองคิด" คำว่า "พูด" ในที่นี้หมายถึงการแสดงความเห็นออกมา อาจจะในรูปแบบใดๆก็ได้
Think |
|||
---|---|---|---|
See |
not to recognize what we seeไม่ตระหนักสิ่งที่เราประสบ |
not to say what we thinkไม่พูดสิ่งที่เราคิด |
Say |
not to see what we doไม่เห็นสิ่งที่เราได้ทำลงไป |
not to do what we sayไม่ทำสิ่งที่เราพูด |
||
Do |
ในปัจจุบันนิเวศต่างๆเสมือนอยู่ใกล้ชิดกันกว่าแต่ก่อน เป็นเพราะระบบการสื่อสารขนส่งที่พัฒนาขึ้นมาอย่างมากมาย เราสามารถพูดสนทนามองเห็นกันและกันทั้งๆที่เราอยู่ห่างไกลกันหลายร้อยพันกิโลเมตร ไปมาหาสู่กันอย่างสะดวก เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ กันง่ายขึ้น ในความสะดวก ความดี และประสิทธืภาพมิติต่างๆที่ดีขึ้นนี้เอง ที่ความต้องการในการนำเอา Collective Values มาตีแผ่ มาขยาย มาทำความเข้าใจกัน เพ่ิมความจำเป็นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะ set ระบบอะไรสักอย่าง อาทิ ระบบการศึกษา ระบบบริการสุขภาพ ระบบคมนาคม ฯลฯ สำหรับชุมชนหนึ่งๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะนั่งร่างระบบดังกล่าว โดยไม่มีการพูดคุยกันก่อน และการพูดคุยที่ว่านี้ ควรจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง (stake-holders) ทุกๆคน (หรือทุกๆ representative group) มาร่วมด้วย มิฉะนั้นญัตติและมติที่จะเกิดขึ้น จะเป็นมิติที่ดูไม่รอบด้าน จะเกิดการสูญเสียผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ตามมาด้วยความไม่ร่วมมือ ขัดขวาง ไปจนถึงแตกหักไม่ประสบความสำเร็จ ในระบบประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้หมายถึงการใช้ความเห็นของคนส่วนใหญ่เป็นหลักเพียงแค่นั้น แต่คนส่วนใหญ่ยังจำเป็นต้องฟังเสียงคนส่วนน้อย และให้การดูแลอย่างสมศักดิ์ศรีเช่นกัน เพราะต่างก็เป็นคนเหมือนๆกัน
ในทำนองกลับกัน เป็น "หน้าที่" ของคนในระบบนิเวศเช่นกันที่จะต้องแสดงออกถึงความคิด ความรู้สึก ในยามจำเป็น ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เขาคิดว่าอย่างไร และรู้สึกว่าอย่างไร มิฉะนั้นแล้ว "การมีอยู่" ของเขาและของคนที่เขารับผิดชอบ ก็จะเสมือน non-existing มีเหมือนกับไม่มี ไม่มีปากเสียง ไม่มี input ออกมา และการไม่พูด ไม่แสดงออก ไม่ได้แปลว่าจะปราศจากความทุกข์เสมอไป อาจจะเป็นการต้องอดทน อดกลั้น ความเป็นไปต่างๆที่ไม่ได้เกื้อกูลต่อสุขภาวะของตนเองและครอบครัว เกิดเป็นมลภาวะของสิ่งแวดล้อมและนิเวศวัฏจักรด้านลบไปเรื่อยๆ
ในที่ประชุมขององค์กรก็เช่นกัน เราคาดหวังที่จะได้ยิน ได้ฟัง ความคิดเห็นที่แตกต่าง เราถึงมีการประชุมกัน เราถึงมีตัวแทนจากมิติ จากกลุ่มที่แตกต่าง มาร่วมกันรับฟังกันและกัน และให่้ความเห็นตามมุมมองของตนเอง สิ่งที่ที่ประชุมจะได้ ก็คือ collective values ขององค์กร ที่สามารถ represent คุณค่าของคนทุกกลุ่มขององค์กรได้
ถ้าหากในเวทีแสดงความคิดเห็น ไม่เกิดการแสดงความคิดเห็น คงจะต้องเป็นภาระของผู้นำองค์กรที่จะต้องพิจารณาว่า "อะไรเป็นอุปสรรคในการแสดงออก"
เพราะโดยปกติ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญต่อตัวเขาจริงๆ ถ้ามี space เมื่อไร ก็น่าจะยินดี และฉวยโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็น
อุปสรรคที่คน "จะไม่แสดงออก" อาจจะได้แก่
จะเห็นว่ามีเหตุผลที่จะเป็นอุปสรรคมากจริงๆ และถ้าอุปสรรคนี้มีเยอะๆ โอกาสที่องค์กรจะได้ข้อมูลที่เป็น collective values ก็จะน้อยลงๆ ในที่สุด ก็จะต้องตัดสินใจ งัดเอา values เฉพาะของคนที่พูด ของคนที่ตัดสินใจมาใช้ เพราะมันต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคหลากหลาย หากพิจารณาดูดีๆ จะมี common pathogenesis หรือ pathophysiology (พยาธิกำเนิด และพยาธิสรีระ)
สอง strategies แรก เป็นหน้าที่ขององค์กร อันสุดท้ายเป็นหน้าที่ของทุกคน เมื่อนั้น เราจะเริ่มเกิดวัฒนธรรมแห่งการ To say what we think ขึ้นมาได้
PS: To say what we think ไม่ได้หมายความว่า to say everything we think at anytime นะครับ diplomatic ก็สำคัญ คือ "การพูดเพื่อหวังผลสุดท้าย" ไม่ใช่พูดเพื่อแสดงว่าได้พูดแล้วเท่านั้น
สวัสดีตอนเช้าครับ ผมตามไปอ่านแล้ว 4-Barriers น่าสนใจมากจะนำมาใช้พิจารณาตนเองครับ
ขอบคุณครับคุณเอกราช มา comment ตังแต่ยังเขียนไม่จบเลย (แหะๆ) เหลืออีกสองตอนครับผม
จะติดตามตอนต่อไปครับอาจารย์